ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ : จาก Jon Snow มาถึงพระเจ้าอู่ทอง

ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ

จําไม่ได้ชัดว่าเมื่อไหร่? แต่ในระหว่างที่เสพซีรี่ส์เรื่องดังอย่าง Game of Throne (ต่อจากนี้จะเขียนด้วยตัวอักษรย่อ GoT) ช่วงที่ Jon Snow กับสารพัดคนเถื่อนนอกกำแพง (the wall) ร่วมกันต่อสู้กับพวก White Walkers นี่ก็ทำให้ผมนึกถึงใครอีกคนขึ้นมา

คนคนนั้นมีชื่อคล้ายๆ กันว่า John Snow จะต่างกันก็แค่ตัว “h” ที่แทรกอยู่ในชื่อ John ไม่เหมือนพ่อพระเอก Jon Snow ใน GoT ที่ไม่มีตัว “h” แทรกอยู่ในชื่อ

แต่ John Snow คนนี้ไม่ใช่ชาว Westeros นะครับ และก็ไม่ได้มีชาติกำเนิดที่น่าสงสัยเหมือนพ่อหนุ่ม Snow ใน GoT อีกด้วย

แถมยังแน่ยิ่งกว่าแช่แป้ง (ว่าแต่แช่แป้งแล้วมันแน่ตรงไหน?) ด้วยว่า มิสเตอร์ Snow คนนี้ไม่สามารถ “ตาย” แล้วฟื้นได้ด้วยมหิทธานุภาพของเทพแห่งแสง หรือเทพเจ้าองค์ใดๆ ก็ตาม อย่างที่นาย Jon Snow ใน GoT เคยได้รับโอกาสอันนั้น

ดังนั้น John Snow คนนี้จึงตายไปแล้วจริงๆ ตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ.2401 โน่นเลย

 

มิสเตอร์ John Snow คงจะเป็นพวกอิงเกอลันด์ธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่ไม่ได้มีอะไรชวนให้ผมนึกถึง หรืออาจจะไม่รู้จักเลยซะด้วยซ้ำไป ถ้ามิสเตอร์ Snow นายนี้ไม่เคยได้หยุดยั้งการระบาดของโรคร้ายในกรุงลอนดอน ด้วยการจัดการทางด้านความสะอาด จนใครๆ เขาก็ยกให้มิสเตอร์ Snow เป็นบิดาแห่งวิชาระบาดวิทยาสมัยใหม่

เอาเข้าจริงแล้ว “ซอมบี้” ของพวกฝรั่ง (ที่จริงแล้วไปขอยืมมาจากพวกวูดูอีกทอด) นี่ก็คล้ายๆ กับ “โรคระบาด” ที่คนโบราณเรียกว่าโรค “ห่า” นี่แหละ เพียงแต่น่ากลัวกว่าตรงที่เป็นแล้วตายยังไม่พอ แต่ยังทรมานสังขารคนป่วย (ที่จริงแล้วน่าจะเรียกว่า คนตาย มากกว่า) ต่อด้วยการปล่อยให้ไปเพ่นพ่านล่าเหยื่อรายต่อไป เพื่อเพิ่มจำนวนเผ่าพันธุ์ของตัวเองต่อไปเรื่อยๆ

และ White Walker นี่ดูแล้วมันก็ไอเดียคล้ายๆ กับซอมบี้ชนิดหนึ่งนั่นเอง

(มักจะเข้าใจผิดกันว่า “โรคห่า” หมายถึง “อหิวาตกโรค” แต่ที่จริงแล้ว “ห่า” แปลว่า “มาก” เช่น ฝนตกห่าใหญ่ ดังนั้น คำว่า โรคห่า จึงหมายถึง โรคที่มีคนตายคราวละมากๆ อหิวาตกโรคก็นับเป็นโรคห่าชนิดหนึ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่า เมื่อเอกสารโบราณระบุคำว่าโรคห่าแล้ว จะหมายความถึงอหิวาตกโรคเสมอไป)

 

พูดถึงตรงนี้แล้วก็มีเกร็ดทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจอยู่เรื่องหนึ่ง ในยุคที่อะไรที่ในภาษาอังกฤษเรียกว่า “Black Death” หรือ “ความตายสีดำ” ซึ่งก็คือโรคร้ายที่พี่ไทยเราเรียกว่า “กาฬโรค” ระบาดไปทั่วทุกมุมโลก

อันที่จริงแล้วการระบาดครั้งใหญ่ของกาฬโรค ที่เรียกได้ว่า ทำเอาเจ็บท้องข้องใจจากจำนวนพลเมืองที่สูญหายตายจากกันไปทั้งโลกนั้นมีอยู่อย่างน้อย 3 ครั้งด้วยกัน ครั้งแรกเกิดขึ้นตรงกับสมัยของจักรพรรดิจัสติเนียน (Justinian) แห่งกรุงคอนสแตนติโนเปิล (หรืออิสตันบูลในปัจจุบันขณะ) เมื่อราวๆ พ.ศ.1085

การระบาดใหญ่ครั้งที่ 2 เป็นครั้งดังที่สุดในประวัติศาสตร์ก็คือช่วง พ.ศ.1893 (ปีเดียวกับที่พระเจ้าอู่ทองหนีโรคห่ามาตั้งกรุงศรีอยุธยาอย่างพอดิบพอดี ราวกับเป็นปาฏิหาริย์) ที่ระบาดทั้งโลก แต่มีร่องรอยอยู่ในเอกสารของพวกชาวยุโรปมากที่สุด

ส่วนครั้งสุดท้ายนั้นเพิ่งจะระบาดกันไปเมื่อ พ.ศ.2439 ซึ่งก็เป็นที่มาให้ทางการแพทย์เค้าค้นพบสาเหตุที่แท้จริงของกาฬโรคว่าเกิดขึ้นจากอะไรแน่ได้สักที และนอกจากนี้แล้ว ในพระคัมภีร์เดิมของพวกชาวคริสต์มีร่องรอยว่า กาฬโรคอาจจะเคยระบาดที่เมืองแอชดอด (Ashdod) ซึ่งเป็นเมืองสำคัญของพวกฟินิเซียนมาก่อนด้วย

เรียกได้ว่าเป็นโรคโบราณที่ระบาดทีนึง คนตายทั่วโลกกันเป็นเบือเลยทีเดียว

 

เรื่องที่ผมจะเล่าให้ฟังนี้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในคราว ที่ห่าลงโลกครั้งที่สอง ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่มักจดจำกันแค่เหตุการณ์ที่เรือสินค้าจากเจนัว กลับจากการเดินทางไปทะเลดำ แล้วเข้าเทียบท่าที่เมืองเมสซินา เกาะซิซิลี เมื่อ พ.ศ.1890 พร้อมกับหนูนับร้อยตัว (แน่นอนว่าแต่ละตัวพกสารพัดเห็บหมัดมาอีกเรือนร้อย) และคนเรือที่ป่วยด้วยห่าลงดังกล่าว จนระบาดไปทั่วยุโรป

และเรือที่บรรทุกเอาเจ้า “ความตายสีดำ” มาด้วยนี่ก็ไม่ได้มีเพียงแค่ลำเดียว ดังนั้นในยุคสมัยที่ห่ากำลังลงหนักในครั้งนั้น เมื่อเรือเทียบท่าแล้วคนเรือจะต้องถูกกักตัวเอาไว้อยู่บนนั้น และห้ามไม่ให้ขึ้นฝั่งจนกว่าจะครบ 40 วัน ซึ่งก็ทำให้คำว่า “40” ในภาษาอิตาเลียนคือ “quaranta” นั้นกลายมาเป็นรากศัพท์ของคำว่า “Quarantine” ที่แปลว่า “การกักกัน” ในภาษาอังกฤษเลยทีเดียว

ผมก็ไม่แน่ใจนักว่า วิธีการกักคนเอาไว้บนเรือแบบนี้มันจะช่วยบรรเทาการระบาดของโรคได้สักแค่ไหนเชียว? แต่ในท้ายที่สุดกาฬโรคก็หายไปจากยุโรป หลังจากที่เล่นงานดินแดนแห่งนี้นเอาเสียจนสะบักสะบอมไปเมื่อปี พ.ศ.1893

 

แต่อันที่จริงแล้วรายงานเก่าแก่ที่สุดของห่าลงโลกมนุษย์ในครั้งโน้น ไม่ได้เริ่มที่เกาะซิซิลี หรือแม้กระทั่งทะเลดำเป็นที่แรกหรอกนะครับ เพราะมันระบาดไปทั่วทั้งโลกเก่า (คือไม่นับทวีปอเมริกา กับออสเตรเลีย) มาแล้วให้เพียบ โดยที่แรกที่มีรายงานอยู่ในมณฑลเหอเป่ย ประเทศจีน ซึ่งมีบันทึกว่ามีคนรอดแค่ 1 ใน 10 เท่านั้น

จีนในยุคโน้น กำลังถูกพวกมองโกลปกครองในนามของจักรวรรดิหยวน ที่ก็เป็นยุคสมัยแห่งสงคราม และพอเจอเหตุการณ์ห่าลงแบบนี้ พวกทหารมองโกลก็ไม่คิดจะช่วยชาวจีนฮั่นเท่าไหร่นัก (ที่จริงก็คงไม่รู้จะช่วยยังไงเหมือนกันแหละ) เลยปิดเมืองให้ตายกันอยู่เฉพาะในนั้นน่ะแหละ

ประเด็นก็คือ พวกมองโกลไม่ได้ปล่อยให้คนพวกนี้ตายไปเปล่าๆ เปลี้ยๆ เพราะทัพมองโกลยังเอาศพคนตายพวกนี้มาใช้เป็นอาวุธชีวภาพ คือพอเวลาไปรบเมืองไหนแล้ว ไม่รู้จะตีเมืองเข้าไปยังไง ก็เอาศพพวกนี้โยนข้ามกำแพงเข้าไปในเมืองเหมือนเป็นผีห่านี่เอง

(ซึ่งก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เวลานั้น Black Death ระบาดไปทั่วโลก ทั้งในเส้นทางการค้าทางทะเลอย่างในกรณีของท่าเรือที่เมืองเมสซินา และทางบกตามเส้นทางเดินทัพของพวกมองโกล)

และด้วยความโหดเหี้ยมขนาดนี้ จึงไม่แปลกอะไรเลยสักนิดที่พอพวกมองโกลเข้าไปถึงตะวันออกกลาง และยุโรปแล้ว กองทัพของลูกหลานเจงกิสข่านเหล่านี้ จะถูกเปรียบเปรยว่า เป็นทัพของก็อก และมาก็อก ซึ่งหมายถึงขุนพลเอกของซาตาน ตามความเชื่อพันธสัญญาเก่า

(ที่จริงการที่พวกก็อกเติร์ก หรือทวูเจ๋ว ตามสำเนียงจีน และถูเจี๋ย ตามสำนวนแปลของคุณ น.นพรัตน์ เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของทัพมองโกล เป็นสาเหตุสำคัญให้พวกชาวคริสต์เอาคำว่า ก็อก ไปมโนแล้วก็โยงกับความเชื่อของตนเองมันเสียอย่างนั้น)

 

ผมไม่แน่ใจนักว่า Jon Snow ในหัวสมองของ จอร์จ อาร์.อาร์. มาร์ติน (George R.R. Martin) ผู้เขียนนิยาย A Song of Ice and Fire ต้นฉบับของ GoT จะมีนัยยะอะไรเชื่อมโยงไปถึง John Snow บิดาแห่งวิชาระบาดวิทยาสมัยใหม่คนนั้นหรือเปล่า?

ที่จริงแล้วคุณมาร์ติน เขาอาจจะไม่รู้จักมิสเตอร์ Snow คนนั้นที่มีตัวตนอยู่จริงในประวัติศาสตร์เลยก็ได้?

แต่การเชื่อมโยงอะไรเหล่านี้เข้ากับเรื่องของโรคระบาด ก็ทำให้ผมนึกถึงตำนานของพระเจ้าอู่ทอง ซึ่งเสด็จหนีโรคห่ามาจากที่ใดที่หนึ่ง

(แล้วแต่ว่าตำนานสำนวนนั้นจะอยากให้พระองค์เสด็จมาจากที่ไหน?)

แล้วมาสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นเมื่อ พ.ศ.1893 ซึ่งก็คือปีเดียวกันกับที่กาฬโรคหยุดระบาดในยุโรปอย่างที่บอกไว้แล้วข้างต้นนั่นเอง

ที่น่าสนใจก็คือ ตำนานเรื่องพระเจ้าอู่ทองสำนวนหนึ่งปรากฏอยู่ในเอกสารของฟานฟลีต ที่ออกเสียงแบบไทยๆ ว่าวันวลิต ชาวฮอลันดาที่เข้ามาในอยุธยา ซึ่งได้จดบันทึกเอาไว้ว่า พระเจ้าอู่ทองได้ปราบ “มังกร” ที่น้ำลายมีพิษร้าย แถบบริเวณหนองโสน หรือบึงพระรามในปัจจุบัน แล้วก็สถาปนาเมืองอยุธยา โดยมีตัวเองขึ้นเป็นกษัตริย์

“พิษร้าย” ของมังกรในภาษาสัญลักษณ์ของตำนานนี่ก็คือ “โรคห่า” ที่ในตำนานพระเจ้าอู่ทองเวอร์ชั่นอื่นๆ บอกว่า พระเจ้าอู่ทองหนีโรคห่ามาสร้างกรุงศรีอยุธยานั่นแหละครับ

เราไม่รู้ว่า พระเจ้าอู่ทองหยุดการระบาดของโรคห่าลงได้อย่างไร? (เพราะคงไม่ใช่ด้วยการปราบมังกรอย่างในตำนานแน่?) แต่ “โรคห่า” ของพระเจ้าอู่ทองน่าจะหมายถึงกาฬโรค ที่ฝรั่งเรียกว่า “Black Death” เพราะยุคสมัยของพระองค์ต้องตรงกับในช่วงเวลาที่โรคห่านี้ระบาดหนัก ไปทั้งทางเส้นทางการค้าโลกข้ามสมุทร และเส้นทางเดินทัพของพวกมองโกลนั่นเอง