ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 19 - 25 พฤศจิกายน 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | จดหมาย |
เผยแพร่ |
จดหมาย
ความเห็นคนไทย
เรื่องกระทง
สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต
สำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อกรณี “คนไทยกับเทศกาลลอยกระทงในยุคโควิด-19”
กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,139 คน สำรวจระหว่างวันที่ 6-12 พฤศจิกายน 2564
พบว่า กรณีที่นายกฯ อนุมัติให้จัดงานลอยกระทงในปีนี้ได้ ประชาชนก็ยังรู้สึกกังวลเรื่องโควิด-19 กลัวเกิดคลัสเตอร์ใหม่ ร้อยละ 60.04
ไม่สนใจไปร่วมเทศกาลลอยกระทง ร้อยละ 43.94 ไม่แน่ใจ ร้อยละ 30.68
ถ้าได้ไปลอยกระทง จะลอยกระทงออนไลน์ ร้อยละ 33.50 รองลงมาคือ ใช้กระทงวัสดุธรรมชาติ ร้อยละ 26.99
ยังไม่ค่อยมั่นใจต่อมาตรการป้องกันโควิด-19 ในเทศกาลลอยกระทงปีนี้ ร้อยละ 40.86
อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีมาตรการป้องกันโควิด-19 อย่างเข้มงวด ร้อยละ 86.82
สิ่งที่แตกต่างของการลอยกระทงในปีนี้กับปีที่ผ่านๆ มาคือ งดเว้นการไปสถานที่แออัด ร้อยละ 68.04
สิ่งที่อยากลอยไปกับกระทงในปีนี้ คือ โควิด-19 ร้อยละ 87.84
รองลงมาคือ ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ ร้อยละ 59.10
จากผลสำรวจพบว่าประชาชนก็ยังรู้สึกกังวลเรื่องโควิด-19 กลัวเกิดคลัสเตอร์ใหม่
เนื่องจากสถานการณ์ที่ผ่านมาประชาชนยังประสบปัญหากับการระบาดของโควิด-19 จึงกังวลการไปร่วมกิจกรรมในสถานที่ต่างๆ กิจกรรมการลอยกระทงรูปแบบออนไลน์จึงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจากปีก่อนๆ
โดยมีความคาดหวังอยากให้โรคระบาดในครั้งนี้ลอยไปกับกระทง
นางสาวพรพรรณ บัวทอง
นักวิจัย สวนดุสิตโพล
อาจารย์อัครพล ไวเชียงค้า
อาจารย์ประจำหลักสูตรคหกรรมศาสตร์
โรงเรียนการเรือน มหาวิทยาลัยสวนดุสิต
แม้สิ่งที่คนไทยให้ความสำคัญ
จะเป็นเรื่อง โควิด-เศรษฐกิจ
อันเป็นความทุกข์
อยากจะจับใส่กระทงลอยไปกับสายน้ำ
กระนั้น อีเมลฉบับต่อไป
เชื่อว่าหลายคน
ก็คงอยากจะลอยไปกับกระทงเช่นกัน
โปรดพิจารณา
ความเห็นต่างชาติ
เรื่องคำวินิจฉัยศาล รธน.
กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การเรียกร้องของนักกิจกรรมสามคนที่เป็นแกนนำในการเคลื่อนไหวให้มีการปฏิรูปสถาบันระหว่างการชุมนุมเมื่อปี 2563 เข้าข่ายเป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
แม้คำวินิจฉัยนี้จะไม่มีบทลงโทษหรือค่าปรับ
แต่มีผลกระทบเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง
เป็นสัญญาณอันตรายสำหรับประชาชนชาวไทยหลายหมื่นคนที่แสดงความเห็นหรือวิจารณ์อย่างชอบธรรมต่อบุคคลสาธารณะหรือสถาบัน ทั้งโดยการแสดงความเห็นทางตรงหรือแสดงความเห็นทางออนไลน์
ซึ่งอาจนำไปสู่การดำเนินคดีข้อหาร้ายแรงต่อแกนนำทั้งสามคนและบุคคลอื่นๆ อีกมาก
โดยฐานความผิดล้มล้างการปกครองนี้มีโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือโทษประหารชีวิต
เป็นความย้อนแย้งอย่างยิ่งที่คำวินิจฉัยนี้มีขึ้นในวันเดียวกันกับที่มีกระบวนการทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชน หรือ UPR รอบที่สามของประเทศไทย (วันที่ 10 พฤศจิกายน 2564) ตามวาระขององค์การสหประชาชาติที่กรุงเจนีวา
โดยในรอบก่อนหน้านี้ ประเทศไทยได้ปฏิเสธข้อเสนอแนะจากประเทศต่างๆ ในที่ประชุม UPR ที่เรียกร้องให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งถือเป็นสัญญาณต่อประชาคมระหว่างประเทศว่าประเทศไทยไม่มีเจตนาใดๆ ที่จะดำเนินการเพื่อให้กฎหมายนี้มีเนื้อหาสอดคล้องกับกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในแง่การคุ้มครองสิทธิในเสรีภาพการแสดงออก
คำวินิจฉัยนี้ฉายเงามืดหม่นทาบทับประเทศไทยที่เริ่มเปิดพรมแดนต้อนรับนักท่องเที่ยวจากนานาชาติ
นับเป็นเรื่องน่ากังขาในเจตนาของรัฐบาลไทยที่แสดงท่าทีต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติให้มาพักผ่อนในประเทศ แต่กลับจำกัดและกดขี่สิทธิของคนไทยเอง
เอ็มเมอร์ลีน จิล
รองผู้อำนวยการสำนักงานภูมิภาคฝ่ายวิจัย
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล
นี่เป็นอีกทุกข์หนึ่งของเมืองไทย
หลังจากนี้ ป้ายแขวน “ล้มล้าง”
คงเกลื่อนกลาด
จะเป็นเงามืดหม่นทาบทับประเทศไทย
ตามที่เอ็นจีโอต่างชาติ กล่าวหาหรือเปล่า
ช่วยกันคิด คนไทย!!