ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 19 - 25 พฤศจิกายน 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศ |
เผยแพร่ |
บทความต่างประเทศ
โควิด-19
ระบาดครั้งใหม่ในยุโรป
ในช่วงเดือนที่ผ่านมาเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ในภูมิภาคยุโรปอีกครั้ง ที่นับได้ว่าเป็นสัญญาณเตือนสำหรับภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะในหลายๆ ประเทศที่เริ่มปลดล็อกดาวน์ และกลับมาใช้ชีวิตตามปกติอีกครั้ง
ในช่วงเดือนที่ผ่านมายอดผู้ติดเชื้อรายวันในทวีปยุโรปพุ่งสูงขึ้นมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ และได้รับการคาดหมายว่าจำนวนผู้ติดเชื้อจะยังคงเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องต่อไป โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ฤดูหนาวกำลังใกล้เข้ามาทุกที
สถานการณ์ล่าสุดนั้นเป็นไปตามที่นายแพทย์ฮานส์ คลูจ ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกประจำภูมิภาคยุโรป ประกาศเตือนเอาไว้เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายนที่ผ่านมาว่า ภูมิภาคยุโรปจะกลับมาเป็น “ศูนย์กลางการแพร่ระบาด” อีกครั้งหนึ่ง
และล่าสุดเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายนที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลกประกาศว่า มีผู้ติดเชื้อในยุโรปมากถึงเกือบ 2 ล้านคนในสัปดาห์เดียว นับเป็นยอดผู้ติดเชื้อในรอบสัปดาห์ที่มากที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีการแพร่ระบาดเกิดขึ้นเลยทีเดียว
ไล่เรียงตั้งแต่ “เยอรมนี” ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีรายงานยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ในแต่ละวันพุ่งสูงขึ้นหลักหลายหมื่นคน และทำสถิติผู้ติดเชื้อรายวันสูงสุดทะลุ 50,000 รายไปเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
ด้าน “เนเธอร์แลนด์” มีรายงานยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่พุ่งทะลุถึง 19,000 รายต่อวันแล้วเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ทำสถิติผู้ติดเชื้อรายวันสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมาอีกครั้ง และนั่นเกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลประกาศล็อกดาวน์บางส่วนไปเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน โดยมาตรการล็อกดาวน์จะมีต่อเนื่องไปเป็นเวลา 3 สัปดาห์
ในส่วนของ “เบลเยียม” เริ่มมีการระบาดระลอกใหม่อีกครั้งโดยยอดติดเชื้อรายใหม่พุ่งขึ้นสูงถึง 14,000 รายเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมา แม้จะไม่ระบาดเท่ากับปีก่อนหน้านี้แต่ก็ส่งผลให้เบลเยียมต้องประกาศมาตรการควบคุมโรคเข้มงวดมากขึ้น เช่น การสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ การกำหนดให้ผู้ที่ต้องการเข้าใช้บริการร้านอาหาร บาร์ ฟิตเนส ต้องแสดง “โควิด-19 พาส” เอกสารยืนยันว่าฉีดวัคซีนครบโดส มีการตรวจโควิดได้ผลเป็นลบ หรือเพิ่งหายจากการติดเชื้อโควิด ก่อนเข้าใช้บริการ
ล่าสุด “ออสเตรีย” ออกมาตรการเข้มงวดยิ่งขึ้นด้วยการสั่ง “ล็อกดาวน์” ผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เพื่อลดอัตราการแพร่ระบาดของโควิด-19 ลง โดยมาตรการดังกล่าวจะเป็นการล็อกดาวน์ผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนไม่ให้ออกจากบ้าน เว้นแต่จะออกจากบ้านเพื่อทำกิจกรรมพื้นฐาน เช่น ทำงาน ซื้ออาหาร เดินออกกำลัง หรือไปฉีดวัคซีนเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม แม้ยอดผู้ติดเชื้อจะเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง แต่ยอดผู้ป่วยหนัก และผู้เสียชีวิตในประเทศข้างต้นนี้ยังคงอยู่ในระดับคงที่ ไม่ได้เพิ่มสูงตามยอดผู้ติดเชื้อ ซึ่งนับได้ว่าเป็นผลจากสัดส่วนประชากรที่ฉีดวัคซีนในแต่ละประเทศนั้นอยู่ในระดับที่สูงแล้ว
นั่นคือสถานการณ์ในกลุ่มประเทศ “ยุโรปตะวันตก”
แต่สำหรับประเทศใน “ยุโรปตะวันออก” นั้นแตกต่างออกไปจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็น “หายนะ” ก็ว่าได้
ในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมายอดผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศอย่าง “โรมาเนีย” “บัลแกเรีย” รวมถึง “ลัตเวีย” นั้นพุ่งสูงขึ้นทำสถิติใหม่ เช่นเดียวกับยอดผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตก็เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน
สถานการณ์ดังกล่าวผู้เชี่ยวชาญมองว่ามีมาจาก 2 สาเหตุ
หนึ่งคือจำนวนผู้ได้รับวัคซีนในกลุ่มประเทศนี้ยังคงน้อย โดยข้อมูลล่าสุดพบว่ามีชาว “บัลแกเรีย” ไม่ถึง 23 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ได้รับวัคซีนครบ 2 โดส ขณะที่มีเพียง 25 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ฉีดวัคซีนไปแล้วอย่างน้อย 1 เข็ม
ขณะที่ในประเทศ “โรมาเนีย” มีประชากรอายุมากกว่า 18 ปีเพียง 34 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ได้รับวัคซีนครบโดส และมีเพียง 38 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ได้รับวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 เข็ม
ถามว่าเพราะอะไรประเทศยุโรปตะวันออกถึงฉีดวัคซีนได้น้อย จะเป็นเพราะวัคซีนเข้ามาไม่เพียงพอต่อความต้องการอย่างที่เกิดกับประเทศไทยหรือไม่
คำตอบก็คือไม่ เพราะสมาชิกสหภาพยุโรป 27 ประเทศนั้นจะได้รับการจัดสรรวัคซีนอย่างเท่าเทียมกัน
สาเหตุที่แท้จริงนั้นนำไปสู่เหตุผลที่สองคือ รัฐบาลของประเทศเหล่านี้ไม่สามารถ “โน้มน้าว” ให้ประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนได้ เพราะประชาชน “ขาดความไว้เนื้อเชื่อใจที่มีต่อระบบสาธารณสุข”
ข้อมูลจากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนจัดทำโดยคณะกรรมาธิการยุโรป หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ยูโรบาโรมิเตอร์” พบว่า มีประชาชนชาวยุโรปตะวันออกมากถึง 1 ใน 3 ที่ไม่เชื่อมั่นในระบบสาธารณสุขของประเทศ
นอกจากนี้ สองประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำที่สุดในบรรดาประเทศในทวีปยุโรปอย่างโรมาเนียและบัลแกเรีย มีจำนวนประชากรที่รู้สึกว่าไม่อยากที่จะฉีดวัคซีนโควิด-19 มากที่สุดในยุโรปด้วย
สถานการณ์ใน “ยุโรปตะวันตก” และ “ยุโรปตะวันออก” บ่งชี้ชัดเจนให้เห็นถึงความสำคัญของการฉีดวัคซีนให้กับประชากรในประเทศ
ยิ่งมีผู้ได้รับการฉีดวัคซีนมากเท่าไหร่ หมายความถึง ผู้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล รวมถึงจำนวนผู้เสียชีวิตจะลดต่ำลง ลดภาระของระบบสาธารณสุขของประเทศได้
แน่นอนว่ามาตรการในการควบคุมการแพร่ระบาดที่ครอบคลุมไม่ว่าจะเป็นการใส่หน้ากากอนามัย การรักษาระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ ก็ยังคงเป็นมาตรการที่ได้ผลที่สุดในการป้องกันการติดเชื้อของคนทั่วไปได้ และเพื่อเป็นการเตรียมพร้อมรับมือกับการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ที่ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าจะเกิดขึ้นแน่ๆ
โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาวที่กำลังจะมาถึง