ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 11 - 17 สิงหาคม 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | คุยกับทูต |
ผู้เขียน | ชนัดดา ชินะโยธิน [email protected] |
เผยแพร่ |
ไทยกับสหรัฐอเมริกามีความสัมพันธ์ต่อเนื่องยาวนานและมาบรรจบครบ 200 ปีในปีหน้า ค.ศ.2018
การติดต่อสื่อสารกันครั้งแรกเริ่มขึ้นเมื่อกัปตันเรือสัญชาติอเมริกันเดินทางมาเยือนประเทศสยาม ค.ศ.1818 พร้อมถือจดหมายจาก นายเจมส์ มอนโร (James Monroe) ประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 5 ซึ่งได้รับสารสัมพันธ์ทางการค้าจากราชสำนักพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2
ต่อมา นายแอนดรูว์ แจ๊กสัน (Andrew Jackson) ประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 7 ได้ส่ง นายเอ็ดมันด์ โรเบิร์ตส์ (Edmund Roberts) มายังกรุงเทพฯ โดยเรือรบอเมริกันพีค็อก (USS Peacock) เพื่อมาเจรจาในการทำสนธิสัญญาไมตรีและการพาณิชย์ (Treaty of Amity and Commerce) หรือเรียกกันว่าสนธิสัญญาโรเบิร์ตส์ กับไทย และสถาปนาความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการเมื่อมีการลงนามในสนธิสัญญาระหว่างกัน วันที่ 20 มีนาคม ค.ศ.1833 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 แห่งราชวงศ์จักรี
นับเป็นสนธิสัญญาฉบับแรกที่กรุงรัตนโกสินทร์ลงนามกับสหรัฐอเมริกา และเป็นฉบับแรกที่ประเทศในทวีปเอเชียลงนามกับสหรัฐอเมริกา
การแลกเปลี่ยนผู้แทนทางการทูตระหว่างกันเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1856 สหรัฐแต่งตั้งสาธุคุณ สตีเฟน แมตตูน (Reverend Stephen Mattoon) เป็นกงสุลประจำสยามคนแรก และวันที่ 13 กรกฎาคม ค.ศ.1881 แต่งตั้ง นายจอห์น เอ. ฮัลเดอร์แมน (John A. Halderman) เป็นผู้แทนสหรัฐประจำสยามคนแรกในตำแหน่งกงสุลใหญ่
ราชทูตไทยประจำสหรัฐ พระองค์แรก ปี ค.ศ.1887 คือ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ ชุมสาย ทรงพำนัก ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
ไทยเปิดสถานทูตในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี ค.ศ.1901 ที่อาร์ลิงตัน เมืองหลวงของรัฐเวอร์จิเนีย และปี ค.ศ.1913 ได้ย้ายสำนักงานมายังกรุงวอชิงตัน
ต่อมา ไทยและสหรัฐได้ยกสถานะความสัมพันธ์เป็นระดับเอกอัครราชทูตในปี ค.ศ.1947
ปัจจุบัน สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน มี นายพิศาล มาณวพัฒน์ เป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกาคนที่ 44 เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ.2015
สถานกงสุลใหญ่ของไทยมี 3 แห่ง ตั้งอยู่ที่นครชิคาโก นิวยอร์ก และลอสแองเจลิส
สถานกงสุลใหญ่ของสหรัฐอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ ส่วนสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐตั้งอยู่ที่ถนนวิทยุ กรุงเทพฯ นายกลิน ทาวน์เซนด์ เดวีส์ (Glyn Townsend Davies) ซึ่งได้รับการเสนอชื่อเข้ารับตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยโดยประธานาธิบดีโอบามา เมื่อวันที่ 14 เมษายน ค.ศ.2015 ได้รับการรับรองจากวุฒิสภาสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม เข้าสาบานตนเมื่อวันที่ 14 กันยายน ค.ศ.2015
มารับตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทยเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ.2015
เอกอัครราชทูตเดวีส์ เป็นข้าราชการระดับอาวุโสของกระทรวงต่างประเทศ มีประสบการณ์กว่า 35 ปี โดยเฉพาะการทำงานในปัญหาด้านความมั่นคงที่สหรัฐให้ความสำคัญสูง เช่น ปัญหาการสะสมอาวุธนิวเคลียร์
โดยก่อนหน้านี้ เคยเป็นผู้แทนถาวรประจำทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) และสำนักงานสหประชาชาติ (UN) ณ กรุงเวียนนา
ต่อมาได้เป็นผู้แทนพิเศษของรัฐมนตรีต่างประเทศว่าด้วยนโยบายเกาหลีเหนือ มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกาในการต่อต้านการแพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ การก่อการร้าย อาชญากรรมองค์กร และการทุจริตฉ้อฉล พร้อมทั้งส่งเสริมการใช้พลังงานปรมาณูเพื่อสันติ
เอกอัครราชทูตเดวีส์ ได้ผ่านงานระดับสูงต่างๆ มาตามลำดับ ได้แก่ หัวหน้ากลุ่มรองผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ฝ่ายกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก, รักษาการผู้ช่วยรัฐมนตรีฝ่ายประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชนและแรงงาน, รองผู้ช่วยรัฐมนตรีฝ่ายกิจการยุโรป, ผู้อำนวยการฝ่ายการเมืองในวาระที่สหรัฐอเมริกาเป็นประธานกลุ่ม G-8 (ลำดับชั้นเอกอัครราชทูต), อัครราชทูตที่ปรึกษา (ลำดับชั้นอัครราชทูต) ของสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร, เลขานุการบริหารของสำนักเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาว (White House National Security Council Staff), รองโฆษกกระทรวงต่างประเทศและรองผู้ช่วยรัฐมนตรีฝ่ายกิจการสาธารณะ และผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการ (Operations Center) กระทรวงต่างประเทศสหรัฐอเมริกา
นอกจากนี้ ยังเคยดำรงตำแหน่งรองที่ปรึกษาฝ่ายการเมืองสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศฝรั่งเศส และประจำสำนักงานความมั่นคงและกิจการการเมืองยุโรป (Office of European Security and Political Affairs) ของสำนักกิจการยุโรป กระทรวงต่างประเทศสหรัฐ มีหน้าที่รับผิดชอบประเด็นที่เกี่ยวกับนิวเคลียร์และการลดอาวุธภายใต้การดำเนินการขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) เป็นหลัก
อีกทั้งเป็นผู้ช่วยพิเศษของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ จอร์จ พี. ชูลต์ซ์ (George P. Shultz)
เริ่มอาชีพนักการทูตในช่วงห้าปีแรกที่สถานกงสุลใหญ่สหรัฐประจำกรุงเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย และสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำกรุงกินชาซา ประเทศซาอีร์ (ปัจจุบันคือ คองโก)
ด้านการศึกษา เอกอัครราชทูตเดวีส์ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาการต่างประเทศ จากมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ (Georgetown University) เมื่อปี ค.ศ.1979 และปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิตเกียรตินิยม สาขายุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติ จาก National War College ที่ Fort McNair กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
สมรสกับนางแจ๊กเกอลีน (Jacqueline M. Davies) ซึ่งเป็นนักกฎหมาย ทั้งสองมีบุตรสาวสองคนและหลานสาวสองคน
ความสนใจงานด้านต่างประเทศและการทูต เกิดขึ้นจากการจุดประกายของครอบครัว
“ผมเติบโตจากครอบครัวนักการทูต มีคุณพ่อเป็นนักการทูตตั้งแต่ปี ค.ศ.1947-1979 ทำให้มีโอกาสเดินทางไปทั่วโลก ผมจึงคิดว่า เป็นอาชีพที่ดีมากได้เป็นตัวแทนของประเทศ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับโลกและความพยายามที่จะนำมาซึ่งความสงบสุขในทุกที่ นั่นคือการทำงานที่ผ่านมาเมื่อ 37 ปีที่แล้ว” ท่านทูตเดวีส์เล่า
“ผมเป็นนักการทูตเมื่อปี ค.ศ.1980 ภายหลังจากที่คุณพ่อออกจากราชการแล้ว ผมมีความสุขมากที่ได้เข้ามาทำงานด้านการต่างประเทศ และก็โชคดีมากเช่นกันที่ได้มาประจำที่ประเทศไทย อันเป็นตำแหน่งสุดท้ายก่อนการเกษียณอายุราชการ”
“งานในหน้าที่ของผมมีหลากหลาย และโยกย้ายตามวาระหมุนเวียนไปยังประเทศต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของนักการทูตจากกระทรวงต่างประเทศ ผมได้ทำงานในหลายทวีป คือ ทวีปออสเตรเลีย แอฟริกา เอเชีย ยุโรป อเมริกา รวมทั้งแอนตาร์กติกา (Antarctica) ด้วย”
“จึงเป็นเรื่องยากที่จะตอบว่า หน้าที่การงานใดมีความน่าสนใจที่สุด เพราะงานทุกตำแหน่งมีความน่าสนใจทั้งนั้น และอาจจะเป็นที่ประเทศไทยในฐานะเอกอัครราชทูตสหรัฐ”
“แต่เมื่อมองย้อนกลับไป ช่วงที่ปฏิบัติงานในทำเนียบขาว (White House) ซึ่งเป็นศูนย์กลางของบุคคลระดับสูงในรัฐบาล ทำให้ผมมีส่วนได้เรียนรู้เกี่ยวกับการดำเนินงานและวิธีการตัดสินใจของผู้ที่เข้ามาบริหารประเทศ ก็คงเหมือนกับการปฏิบัติงานในทำเนียบรัฐบาลหรือพระราชวัง ดังนั้น ผมจึงคิดว่า งานในทำเนียบขาวเป็นเรื่องที่น่าสนใจที่สุดสำหรับผม”