ครัวอยู่ที่ใจ l ทางรอดอยู่ในครัว : น้ำพริกหนุ่มกับข้าวก้นหม้อ / อุรุดา โควินท์

 

ทางรอดอยู่ในครัว

: น้ำพริกหนุ่มกับข้าวก้นหม้อ

 

ขณะย่างน้ำพริกหนุ่ม ฉันคิด กับบางเรื่องชีวิตของคนรุ่นเราก็ยากกว่าปู่-ย่า ตา-ยาย จำได้ว่าตากับยายไม่เคยพูดเรื่องความสำเร็จ ตัวตน หรือตำแหน่งแห่งที่ของตัวเอง พวกเขาไม่ต้องการมัน หรือพวกเขาแค่ไม่ได้พูดออกมากันนะ

ที่แน่ๆ ยายทำน้ำพริกหนุ่มง่ายกว่าฉันมาก น้ำพริกตาแดงก็ด้วย วันไหนที่ยายอยากตำน้ำพริก ยายก็แค่ยัดหัวหอม พริก กระเทียม เข้าไปใต้เตาถ่าน พอยายนึ่งข้าวเสร็จ พริก หอม กระเทียม ก็สุกพอดีตำ ยายไม่ต้องตั้งกระทะเทฟลอน เปิดไฟอ่อน ย่างแบบนานเท่านาน และต้องคอยกลับด้านแบบฉัน

อืม…ถ้ายายยังอยู่ ยายคงบอก ถ้ายากนักก็ไปซื้อสิ มีขายเยอะแยะไม่ใช่เหรอ

มันแย่ตรงที่ พอเรารู้ว่าน้ำพริกแบบไหนอร่อย เราก็ไม่อยากกินน้ำพริกไม่อร่อย ดังนั้น ฉันจะตั้งใจกลับด้านพริกอีกครั้ง รออีกราวสามนาที แล้วปิดเตา

ให้พริก หอม กระเทียมเย็นลง ค่อยมาตำ ฉันจะทำข้าวผัดน้ำพริกหนุ่มเป็นมื้อเย็น เพราะฉันรู้ว่า เขาไม่ชอบข้าวเหนียว เพราะมันง่าย และเพราะฉันมีข้าวเย็นเยอะ

ได้พริกหอม กระเทียมแล้ว ย่อมไม่มีอะไรยาก ฉันจึงออกจากครัวไปล้างอุปกรณ์ทำสบู่ ทำความสะอาดสตูดิโอ และแกะสบู่ออกจากโมลด์ เตรียมตัดคืนนี้

 

“ไหนบอกว่าวันนี้จะพัก” เขาถาม

“ก็พักไง”

เขาหัวเราะ “ตั้งแต่เช้ายังไม่เห็นหยุดเลยนะ”

คำว่าพักของฉัน ไม่ได้หมายถึงอยู่เฉยๆ นอนเล่น แต่หมายถึงการทำเรื่องจุกจิกหลายเรื่องที่ฉันอยากทำ แต่ไม่มีเวลาในวันอื่น บางเรื่องก็เกือบๆ จะเป็นงาน เช่น การตระเตรียมห้องสบู่ สั่งสี สั่งน้ำมัน สั่งน้ำหอม และยังหมายรวมถึงการตัดดอกมลุลีมาปักแจกันด้วย

มลุลีบานแค่ปีละครั้ง แถมยังบานไม่กี่วัน ฉันรู้-พรุ่งนี้มันจะทิ้งขั้วเสียสิ้น แต่ฉันอยากเก็บมาปักแจกันอยู่ดี

ดอกตูมสวย ดอกบานสวย โรยหมดแล้ว เหลือแต่กลีบเลี้ยงก็ยังสวย มลุลีเป็นดอกไม้ดอกน้อยที่ดูเจียมตน แต่ครั้นตัดมาใส่แจกัน กลับเลอค่า ชวนมอง

ฉันยังต้องห่อโมลด์ ออกแบบสบู่ และตัดสบู่ที่ทำเมื่อวาน

นั่นล่ะวันพักของฉัน

แต่ตอนนี้ ท้องบอกว่าทำอาหารก่อนเถอะ อย่างอื่นค่อยว่ากัน

 

นํ้าพริกหนุ่มเข้ากันดีกับหมูทอด หรือแคบหมู ฉันจึงหมักสันคอหมูไว้ หมักง่ายๆ กับรากผักชี เกลือ พริกไทย ตำให้ละเอียด คลุกให้ทั่วหมู

เก็บหมูหมักไว้ในตู้เย็น แล้วฉันก็ลอกเปลือกพริกออก ตามด้วยหอมแดง และกระเทียม ใส่ทั้งหมดลงครก แล้วตำให้เข้ากัน ยายจะใส่ฮ้าแห้งคั่ว หรือปลาแห้งป่นนิดหน่อย และปรุงรสด้วยเกลือ-เท่านั้นจริงๆ

หัวหอมย่างกับกระเทียมย่างทำให้น้ำพริกนวลขึ้น มีรสหวานจางๆ และมีกลิ่นหอม กลิ่นที่ได้จากการหมกหรือย่างคือเสน่ห์ของน้ำพริกหนุ่มที่ไม่มีอะไรแทนได้

นอกจากเกลือ ฉันเยาะน้ำปลาลงครกหน่อย คนให้เข้ากัน ตักน้ำพริกใส่ถ้วยเล็ก เอาไว้กินกับข้าวผัดแทนพริกน้ำปลา แล้วเอาน้ำพริกที่เหลือ คลุกข้าวให้ทั่ว

ถ้าต้องการรสจัด จะใส่น้ำพริกเยอะๆ ก็ได้ แต่ฉันอยากได้ข้าวผัดที่กินง่าย จึงคลุกแต่พอดี

ผัดข้าวคลุกน้ำพริกให้ร้อน เหยาะน้ำปลาหน่อยได้ ถ้ายังเค็มไม่พอ ถ้าอยากได้รสหวาน ใส่น้ำตาลลงไป ก็ไม่มีใครห้าม

ที่ควรระวังคือน้ำมัน ใส่ให้น้อยที่สุด ไม่อย่างนั้นข้าวผัดจะเลี่ยน ไม่น่ากินเอาเลย

 

ได้ข้าวผัดแล้ว ฉันตักใส่จานใบใหญ่

ตั้งกระทะใหม่ สำหรับทอดหมู น้ำมันต้องเยอะจนท่วม และร้อนจัด โรยแป้งทอดกรอบลงบนหมู เติมน้ำเย็นลงไปหน่อย คลุกให้เข้ากัน หย่อนหมูลงกระทะทีละชิ้น ทอดไฟแรงให้เป็นสีน้ำตาลสวย แล้วตักขึ้น

ทีนี้ก็เหลือแต่ผัก กับไข่ต้ม

ตั้งหม้อเตรียมลวกผัก

เขาเดินเข้าครัวมา “มีอะไรให้ยกไปมั้ย”

เหลียวซ้ายที ขวาที “เห็นจะมีแต่น้ำพริกถ้วยนั้น พูจะใส่ทุกอย่างในจานใบใหญ่ ค่อยตักลงจานแบ่งกินกันนะ” หยิบหม้ออีกใบ “ควรต้มไข่ก่อน แต่ลืม”

“ไม่ต้องแล้ว มีหมูทอด ไข่ไม่ต้องหรอก” เขาว่า

“แน่ใจนะ”

“มันจะเยอะไปน่ะ” มองข้าวผัด “สีมันซีดๆ อย่างนี้น่ะเหรอ”

อ้าว ข้าวผัดน้ำพริกหนุ่มจะให้มีสีอะไรล่ะ “หรือจะใส่แคร์รอต เอามั้ยล่ะ”

“เปล่า แค่สงสัย ไม่เคยกินนี่นา”

อาหารมีไว้กินเป็นอันดับแรก ความสวยค่อยตามมา ฉันยอมรับว่าข้าวผัดน้ำพริกหนุ่มไม่ค่อยมีสีสัน แต่ฉันมั่นใจเรื่องรสชาติ

ยกวางบนโต๊ะ ใกล้แจกันดอกไม้

“เห็นมะ พอจานอยู่ใกล้มลุลีก็สวยมาก” ฉันว่า

“ไม่ต้องสวยก็ได้อาหารน่ะ”

ฉันยิ้ม พูดได้ดี

“อืม…อร่อย หมูอร่อย ข้าวก็อร่อย” เขาว่า

ไม่นานเลย เขาตักจานที่สอง “อร่อยอ่ะ”

คำอร่อยเกลื่อนอยู่กับโต๊ะอาหารที่มีแต่สีขาวกับสีเขียว นี่ถือเป็นรางวัลของวันพัก ฉันได้ทำทุกเรื่องที่อยากทำ ได้ทำอาหารจากข้าวเย็นที่เหลือก้นหม้อ แถมยังอร่อยด้วย