ล้มล้างการปกครองที่ชัดแจ้ง/ชกคาดเชือก วงค์ ตาวัน

วงค์ ตาวัน

ชกคาดเชือก

วงค์ ตาวัน

 

ล้มล้างการปกครองที่ชัดแจ้ง

 

การกระทำที่เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง กลายเป็นหัวข้อสนทนาถกเถียงกันไปทั่วในวันนี้ อันเนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญเพิ่งมีคำวินิจฉัยว่า การกระทำของ นายอานนท์ นำภา นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ และ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง ชุมนุมปราศรัยในวันที่ 10 สิงหาคม 2563 จัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต

เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

แน่นอนว่าเมื่อเป็นคำวินิจฉัยของศาล เป็นกฎกติกาของบ้านเมือง ทุกฝ่ายต้องเคารพ

เพียงแต่ในแง่การถกเถียงเชิงวิชาการ ย่อมติดตามมาอย่างอื้ออึง

อีกทั้งการเคลื่อนไหวของเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่ร้อนแรง จะดำเนินต่อไปเช่นไร ประเด็นข้อเรียกร้องต่อสู้จะเป็นไปอย่างไร คงต้องเฝ้าจับตามองอย่างระทึก!?

ที่แน่ๆ พฤติกรรมล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้น ถ้าถามคนทั้งบ้านทั้งเมือง ต้องคิดออกในทันทีว่า การล้มล้างการปกครองที่ผ่านๆ มาอันชัดเจนที่สุด ก็คือ การลากรถถังออกมาล้มรัฐบาล ล้มกระดานประชาธิปไตย และฉีกรัฐธรรมนูญ

อีกทั้งไม่เคยมีการรัฐประหารครั้งใด ที่ทำเพื่อให้มีประชาธิปไตยดีขึ้น มีแต่ล้มประชาธิปไตย แล้วผลักประเทศให้ถอยหลังไปเป็นเผด็จการ

แม้จะมีอยู่หนหนึ่งคือ จากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ที่วางแผนฆ่าหมู่นักศึกษาในธรรมศาสตร์ แล้วตกเย็นวันนั้นคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน นำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ และ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เข้ายึดอำนาจการปกครอง แล้วตั้งรัฐบาลให้นายธานินทร์ กรัยวิเชียร เข้ามาเป็นนายกฯ

จากนั้นอีก 1 ปี คณะทหารชุดนี้ก่อการรัฐประหารซ้ำอีกหน เพื่อล้มรัฐบาลธานินทร์ เนื่องจากเดินแนวทางเผด็จการขวาจัดเกินไป จนทำท่าจะโดนทั่วโลกต่อต้านหนัก แถมภายในประเทศสงครามคอมมิวนิสต์ยิ่งลุกลาม เพราะนักศึกษาแห่กันเข้าป่า

การรัฐประหาร 20 ตุลาคม 2520 โดยสงัด-เกรียงศักดิ์ จึงเป็นการรัฐประหารซ้ำเพื่อล้มรัฐบาลเผด็จการ แล้วพลิกการเมืองให้เป็นประชาธิปไตยครึ่งใบ

แต่ถึงที่สุด ก็ไม่ใช่การรัฐประหารเพื่อให้เกิดประชาธิปไตยเสรีสมบูรณ์แบบ เพียงแต่เห็นว่าถ้าเดินแนวขวาสุดโต่งของรัฐบาลธานินทร์จะทำให้พังกันไปทั้งหมด

เป็นการรัฐประหาร เพื่อนำไปสู่การเมืองที่ผ่อนคลาย ประนีประนอมมากขึ้นเท่านั้น

เพราะฉะนั้นภาพรวมของการรัฐประหาร ก็คือการยึดอำนาจล้มประชาธิปไตย แล้วให้คนหยิบมือเดียวไม่มีส่วนเชื่อมโยงกับประชาชน เข้ามากุมอำนาจ

การลากรถถังพร้อมปืน มายึดอำนาจ นี่แหละคือการล้มล้างการปกครองประชาธิปไตย ที่ชัดเจนที่สุด

แต่ไม่เคยได้รับการลงโทษตามกฎหมายแม้แต่ครั้งเดียว

 

กลุ่มกุมอำนาจการเมืองในปัจจุบัน ถือได้ว่ามีรากฐานจากอำนาจกองทัพ และเครือข่ายอำนาจนอกระบอบประชาธิปไตย โดยจุดเริ่มต้นมาจากการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ยึดอำนาจจากรัฐประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้ง แล้วหัวหน้าคณะรัฐประหาร คสช. คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขึ้นเป็นนายกฯ เอง

เป็นนายกฯ ในฐานะรัฐบาลทหารถึง 5 ปี ก่อนจะเปิดการเลือกตั้งในปี 2562 โดยอาศัยกติกาหรือรัฐธรรมนูญ ฉบับดีไซน์มาเพื่อพวกเรา เอา ส.ว.จากการแต่งตั้ง 250 เสียง มามีอำนาจในการโหวตนายกฯ และตั้งรัฐบาล อยู่เหนือกว่าเสียง ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน

ดังนั้น การเป็นนายกฯ สมัยที่ 2 ของ พล.อ.ประยุทธ์ จึงไม่สามารถยืดอกคุยได้เต็มปากเต็มคำว่า เป็นนายกฯ ในระบอบประชาธิปไตยแท้จริง จนต้องเรียกกันเองว่า เป็นประชาธิปไตยแบบไทยๆ

การรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ของคณะ พล.อ.ประยุทธ์นั้น เป็นการยึดอำนาจโดยปืนและรถถังหนล่าสุดของประเทศไทย

ขณะที่รัฐบาลขณะนั้นคือ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาจากการเลือกตั้งและชนะเลือกตั้งแบบถล่มทลาย

แถมเมื่อเกิดการชุมนุมประท้วงใหญ่ของม็อบนกหวีด ฝ่ายรัฐบาลก็ยอมถอยตามหนทางประชาธิปไตย คือ ยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชนส่วนใหญ่ตัดสินใจ ผ่านการเลือกตั้งครั้งใหม่

แทนที่บ้านเมืองจะเดินหน้าตามทางออกอันถูกต้องตามครรลอง กลับไม่ยอมให้มีการเลือกตั้ง ขัดขวางเลือกตั้ง ล้มการเลือกตั้ง เพื่อให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง ทำให้เข้าทางตัน ปูทางให้ทหารออกมายึดอำนาจ ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557

กระบวนการที่เริ่มต้นตั้งแต่ก่อม็อบ กปปส. ต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ครั้นเมื่อรัฐบาลยอมถอยด้วยการปล่อยให้กฎหมายที่ถูกต่อต้านตกไปจากสภา ฝ่ายม็อบก็ไม่ยอมเลิก เดินหน้าชุมนุมชัตดาวน์ต่อ ครั้นรัฐบาลถอยอีกก้าวด้วยการยอมยุบสภา ให้เลือกตั้งใหม่ ก็ไม่ยินยอมอีก

จนประชาธิปไตยถูกล้มคว่ำ และเข้าสู่ยุคการเมืองภายใต้รัฐบาลทหารยาวนานถึง 5 ปี เป็นช่วงที่ประชาชนไม่สามารถมีส่วนร่วมในทางการเมืองใดๆ ได้เลย

จึงกล่าวได้ว่า ทั้งจุดเริ่มต้นของการก่อม็อบ เพื่อทำทุกอย่างให้เกิดรัฐประหาร และลงเอยก็เกิดรัฐประหาร

ตั้งแต่ม็อบดังกล่าวและการรัฐประหาร

คือพฤติการณ์ล้มล้างการปกครองประชาธิปไตยที่ชัดเจนโจ่งแจ้ง!

 

การเป็นนายกฯ ยุค คสช.ของ พล.อ.ประยุทธ์ถึง 5 ปีนั้น ไม่ต้องหาคำอธิบายอะไร นั่นคือการเมืองในยุคเผด็จการแท้ๆ เพราะปกครองโดยกลุ่มที่มีคณะทหารเป็นแกนนำ และไม่มีการเลือกตั้ง ไม่ให้ประชาชนเจ้าของประเทศสามารถร่วมตัดสินใจใดๆ ในทางการเมือง

ข้ออ้างที่ต้องปกครองโดยรัฐบาลทหารยาวนาน ก็คือ ต้องปฏิรูปการเมืองเสียก่อน ต้องเขียนรัฐธรรมนูญที่รองรับการปฏิรูปการเมืองก่อน โดยเขียนแล้วก็ล้ม เพื่อเขียนใหม่อีกรอบ จนคนเขียนรอบแรกอธิบายว่า เพราะเขาอยากอยู่ยาว

อยากอยู่ยาวหมายถึง ยืดเวลาเขียนรัฐธรรมนูญเพื่อให้รัฐบาลทหารอยู่ไปอีกยาวๆ แล้วเขียนรัฐธรรมนูญที่สร้างกติกาอันเหลื่อมล้ำ เขียนเพื่อกำหนดตัวนายกฯ เองไว้ล่วงหน้า แล้วด้วยรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ทำให้นายกฯ คนเดิมอยู่ต่อไปได้อีกยาวนานที่สุด

จุดเริ่มต้นของคณะทหาร คสช. ก็คือการล้มล้างการปกครองประชาธิปไตยชัดเจนแน่นอน จากนั้นเมื่อเปิดให้มีการเลือกตั้ง อันเป็นกลไกสำคัญที่ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมได้อีก ก็ยังใช้กติกาที่ทำให้เสียงของประชนที่แห่กันเข้าคูหากาบัตรนั้น ถูกอำนาจ 250 ส.ว.ที่มาจากการแต่งตั้งกดทับอีก ด้วยการเป็นเสียงกำหนดนายกฯ และรัฐบาล

ดังนั้น รัฐบาลหลังการเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 ก็คือรัฐบาลที่เชื่อมต่อมาจากการรัฐประหารที่เป็นการล้มล้างการปกครองประชาธิปไตยแน่นอน

แล้วด้วยรัฐบาลรัฐประหาร กับการสร้างรัฐธรรมนูญที่ทำให้คณะรัฐประหารสืบทอดอำนาจต่อไป จึงทำให้การเมืองหลังการเลือกตั้ง 2562 จึงไม่ใช่ประชาธิปไตยอีก

ผลพวงจากการล้มล้างการปกครองประชาธิปไตยเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 จึงยังแผ่พิษมาจนถึงการเมืองในวันนี้ เป็นประชาธิปไตยที่ยังมีร่องรอยโดนล้มล้างอยู่

มาล่าสุดที่กำลังกระหึ่มไปทั่วเมือง ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่า การเคลื่อนไหวของม็อบคนรุ่นใหม่ ในการชุมนุม 10 สิงหาคม 2563 เป็นการกระทำล้มล้างการปกครอง

ขณะที่ประชาชนผู้รักประชาธิปไตย ก็เห็นว่า ที่ล้มล้างการปกครองประชาธิปไตยชัดเจนโจ่งแจ้ง คือ การรัฐประหารทุกครั้ง

รวมทั้งการรัฐประหารหนล่าสุด 22 พฤษภาคม 2557 ผ่านการก่อม็อบนกหวีดเพื่อล้มรัฐบาลประชาธิปไตย ไม่ยอมให้มีการเลือกตั้ง ก็คือกระบวนการล้มล้างการปกครองประชาธิปไตยที่มีแผนการเป็นขั้นเป็นตอน

ไม่ต่างจากการก่อม็อบเมื่อปี 2549 ไล่รัฐบาลประชาธิปไตย เรียกร้องอำนาจฝ่ายอนุรักษนิยมการเมืองและการรัฐประหาร จนนำไปสู่การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549

ทั้ง 2 เหตุการณ์ เป็นกระบวนการล้มล้างการปกครองประชาธิปไตยที่ต่อเนื่องกัน!