ดราม่า คลับเฮาส์toxic โดนถล่ม เหยียดคนอีสาน พวกคุณโตมาแบบไหน?/บทความในประเทศ

บทความในประเทศ

 

ดราม่า คลับเฮาส์toxic

โดนถล่ม เหยียดคนอีสาน

พวกคุณโตมาแบบไหน?

จากประเด็นดราม่าร้อนระอุอยู่ในโลกโซเชียล กลายมาสู่ดราม่าระดับประเทศไปเสียแล้ว สำหรับกรณีที่มีคนกลุ่มหนึ่งตั้งห้องในคลับเฮาส์เพื่อพูดคุยเหยียดหยามคนอีสาน ด้วยตรรกะที่ผิดเพี้ยนและแสนจะสุดโต่ง

เริ่มจากการเหยียดคนอีสานว่าส่วนใหญ่ชอบให้ลูกไปมีสามีฝรั่งที่มีฐานะร่ำรวย เพราะคนอีสานทำมาหากินเองไม่ได้ เลยต้องไปเกาะคนอื่นกิน

คนอีสานมีลูกตั้งแต่อายุ 12 ปี คนอีสานใจแตก มีลูกก่อนวัยอันควร

คนอีสานเกือบทั้งหมดชอบกินสุนัข

คนภาคอื่นมีวิวัฒนาการมาจากลิง แต่คนอีสานวิวัฒนาการมาจากวิลอซิแรปเตอร์ ซึ่งเป็นกลุ่มไดโนเสาร์กินเนื้อชนิดหนึ่ง ทำให้คนอีสานกินสุนัขด้วย

รวมทั้งเหยียดหน้าตาสีผิวของคนอีสานว่า ผิวคล้ำ ดำแดดเพราะตากแดดแบกปูน กินมูมมาม เป็นต้น

จนทำให้แฮชแท็ก คลับเฮาส์toxic ทะยานขึ้นสู่อันดับ 1 เทรนด์ทวิตเตอร์

นอกจากนี้ยังลามไปถึง ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล สมาชิกวงแบล็กพิงก์ ว่าเนรคุณแผ่นดิน ลืมกำพืดตัวเอง ถ้าอีสานดีจริงก็คงกลับมาอยู่แล้ว ไปอยู่ที่ประเทศอื่นก็คงทำอาชีพอื่นที่ไม่ใช่นักร้อง

นอกจากนี้ยังพูดเหยียดศิลปินเกาหลีคนอื่น เหยียดกลุ่ม LGBTQ+ ตลอดจนพูดว่า รายการโหนกระแสของ หนุ่ม-กรรชัย เป็นรายการคนจน แถมท้าทายว่าต่อให้ตนไปออกโหนกระแส ก็จะไม่มีวันขอโทษคนอีสานแน่นอน

ทำเอาหนุ่ม กรรชัย ทนไม่ไหวออกมาบอกผ่านรายการว่า

“เห็นว่าอยากมาออกรายการโหนกระแส ยินดีนะครับ รออยู่นะฮะ อย่าปากเก่งนะครับ มาเลย บอกจะมาก็มาดิมา ผมรออยู่นะฮะ จะได้ชี้แจงไปว่าคุณไปด่าคนอีสานเขาทำไม คุณโตมาแบบไหน ผมก็อยากรู้ มานะครับ รออยู่นะฮะ”

 

เรื่องนี้สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจชาวอีสานเป็นอย่างมาก ถึงกับมีการตั้งคำถามว่า คนอีสานไปทำอะไรให้ ทำไมต้องเหยียดหยามกันถึงขนาดนี้

บ้างก็อัดคลิปสวนกลับ บ้างก็บอกอย่าให้เจอตัว พร้อมทั้งสืบเสาะหาตัวตนจริงๆ ของคนในคลับเฮาส์นั้น และพบว่ายังเป็นเยาวชนเกือบทั้งหมด

แถมบางคนยังขโมยรูปภาพคนอื่นมาเป็นภาพโปรไฟล์เพื่อด่าคนอีสาน โดยหวังปั่นกระแสให้สังคมเกิดความหัวร้อน

ก่อนที่ ทนายแดง-คุ้มพงษ์ ภูมิภูเขียว ตัวแทนกลุ่มคนอีสาน…บ่ทน จะเข้าไปแจ้งความและลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน พร้อมนำรถขยายเสียงและป้ายติดข้างรถ ข้อความว่า “หยุด ย่ำยี เหยียดหยาม คนอีสาน”

โดยทนายแดงเผยกับสื่อมวลชนว่าอาจจะมีหลายคนมองว่าเป็นคำพูดของคนที่ไร้ความคิด แต่มันคือคำพูดที่ดูถูกความเป็นมนุษย์ของคนอีสาน จึงต้องมาแจ้งความให้ตำรวจดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมาย ในความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฐานกระทำการโดยทุจริตนำเข้าซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ ข้อมูลบิดเบือนเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์

และขอยืนยันว่ากลุ่มคนอีสาน…บ่ทน จะเดินหน้าเอาผิดคนที่ย่ำยี เหยียดหยาม คนอีสานให้ถึงที่สุด

 

ส่วนคนในวงการบันเทิงสายเลือดอีสานก็ออกมาพูดถึงเรื่องนี้เป็นจำนวนมาก อาทิ นักร้องลูกทุ่ง ก้อง ห้วยไร่ ที่โพสต์ข้อความในอินสตาแกรม บอกว่า #ชีวิตที่ถูกเลือกให้อยู่ในที่ที่เหมาะสม ทุกคนเกิดมาล้วนเพื่อมาเป็นจิ๊กซอว์ตัวสำคัญให้กับโลกใบนี้ ทุกเชื้อชาติทุกอาชีพมีความสำคัญเท่าเทียมกัน ผมภูมิใจที่ได้เกิดมาในแผ่นดินอีสาน (ลาว) ภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นคนที่มีจิตใจให้เกียรติ คนด้วยกันครับ #เกิดเป็นคนอีสานเลือดก็คนอีสาน

ตลกชื่อดังอย่าง หม่ำ จ๊กมก ได้ออกมาพูดถึงเรื่องนี้เช่นกันว่า

“อะไรนักหนาก็ไม่รู้ แผ่นดินที่ราบสูงไปทำอะไรให้เขาก็ไม่รู้ เวรกรรมแท้ๆ น่าสงสาร อย่าไปตอบไปโต้เขาเลย ไม่รู้พวกผมไปทำอะไรให้เขา ไปทำอะไรให้เขาผมก็ไม่รู้ ถ้าทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ ก็ขอโทษแทนแล้วกัน แต่มันไม่ได้ทำอะไรก็ไม่รู้มาว่าแผ่นดินที่ราบสูงผมได้ยังไง พี่เคารพสิทธิส่วนบุคคลของน้อง พี่เคารพนะ แต่ว่าประเทศไทยมี 4 ภาค ทุกคนมีวัฒนธรรมแต่ละภาคไม่เหมือนกัน มีความโดดเด่นไม่เหมือนกัน

ฉะนั้นก็ไม่เป็นไรถ้าน้องคิดว่าแผ่นดินที่ราบสูงไม่ดีกับน้อง ก็ไม่เป็นไร พี่ก็ไม่ได้ว่าน้องหรอก แต่ก็ไม่ได้ไปทำอะไรให้น้องนะ เป็นกำลังใจให้น้องเสมอ จะอยู่เคียงข้างน้องตลอด ให้น้องสบายใจของน้องไปเลย

เห็นว่าเขาไม่พูด เขาไม่ได้โง่นะ เขาไม่อยากต่อปากต่อคำ คือเขาคนซื่อ ไม่เป็นไร ว่ากันไปตามนั้น ก็เบาๆ บางๆ ตามสบาย ถ้าพูดแล้วมีความสุขก็เอากันไป”

 

นอกจากนี้ยังมีคนในแวดวงการเมือง ออกมาปกป้องศักดิ์ศรีให้กับคนอีสาน ไม่ว่าจะเป็น สุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนี้ว่า “เรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นคนอีสานด้วยกัน หรือคนภาคอื่นก็ตาม ขอฝากให้ระมัดระวัง เพราะบางคนอาจคิดไปโดยไม่ระวัง ขออย่าใช้ความคึกคะนองในการแสดงความเห็น เพราะเป็นเรื่องที่กระทบต่อความรู้สึก กระทบต่อความเป็นปึกแผ่นของคนในชาติ ไม่เพียงแต่ภาคอีสานเท่านั้น แต่คนภาคอื่นๆ ก็มีบาดแผลทางประวัติศาสตร์ที่ไม่ควรไปสะกิดแผล พร้อมฝากไปถึงรัฐบาลที่มีหน้าที่คุ้มครองสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามรัฐธรรมนูญ ต้องไม่ปล่อยปละละเลยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น บ่อยครั้งที่รัฐบาลชุดนี้ไม่ใส่ใจ เมินเฉยต่อปัญหา แม้กระทั่งเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้ก็ด้วย”

รวมถึง ชญาภา สินธุไพร รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ก็เตรียมยื่นหนังสือต่อกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อขอให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตรวจสอบและสืบสวนข้อเท็จจริงในการแสดงความคิดเห็นที่มีความสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งภายในประเทศป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาลุกลามบานปลายต่อไป

ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ก็ได้ออกมาเทกแอ๊กชั่นถึงเรื่องนี้ โดยระบุว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็นแค่ 1 ตัวอย่างของการเหยียดผู้อื่นในประเด็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมไม่ว่าจะเป็นประเด็นเพศ ประเด็นกลุ่มชาติพันธุ์ หรือสภาพร่างกาย เป็นต้น และเราก็เห็นสิ่งเหล่านี้อยู่รอบตัวในการใช้ชีวิตประจำวัน

วันนี้ในหลายประเทศมีกฎหมายเกี่ยวข้องกับการขจัดการเลือกปฏิบัติ อย่างเช่น เยอรมนี อังกฤษ นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย เป็นต้น

ส่วนประเทศไทยนั้นก็จำเป็นต้องมีกฎหมายขจัดการเลือกปฏิบัติ ป้องกัน และเยียวยาผู้ที่ถูกเลือกปฏิบัติ เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความเป็นธรรม

 

ขณะที่ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือดีอีเอส กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำให้ประชาชนทั้งประเทศมีความไม่สบายใจอย่างมาก ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีเอส กำลังติดตามตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้น หากพบว่าเป็นการให้ข้อความอันเป็นเท็จ บิดเบือนใส่ร้าย และสร้างความเสียหายให้กับพี่น้องประชาชนก็จะมีความผิดตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ มีโทษจำคุกสูงสุดถึง 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท

พร้อมกล่าวต่อว่า “ส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมดังกล่าว ที่มีการใช้โซเชียลมีเดียปั่นกระแสแบ่งแยกกัน เพราะไม่ว่าเราจะอยู่ภาคไหนก็คนไทยด้วยกัน ส่วนตัวเห็นว่าภาคอีสานเป็นภาคที่อุดมสมบูรณ์ คนอีสานก็เป็นคนน่ารัก มีน้ำใจและมีวัฒนธรรมที่สวยงาม ดังนั้น จึงขอเตือนอย่าใช้โซเชียลมีเดียมาแบ่งแยกประเทศ”

การเหยียดเชื้อชาติคนอีสานในครั้งนี้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ด้วยโครงสร้างทางสังคมที่ยังแบ่งชนชั้น โดยเอาฐานะ ความเป็นอยู่ สภาพสังคม มาเป็นตัวแบ่งแยก เชื่อว่าตัวเองเหนือกว่าคนร่วมชาติเดียวกัน รวมถึงการเหยียดคนอีสานผ่านภาพจำในละครไทยก็ยังมีอยู่ และไม่ใช่แค่คนอีสานเท่านั้น คนในภาคอื่นก็เคยเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้มาแล้ว

การที่ชาวเน็ตให้ความสนใจและไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมเหยียดของคนในคลับเฮาส์ การที่ดาราคนดังออกมาพูด รวมไปถึงนักการเมืองที่หยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาพูด คงทำให้สังคมตระหนัก และลด ละ เลิก พฤติกรรมการเหยียดเชื้อชาติมากขึ้น