‘บิ๊กป้อม’ วางหมากยึดพรรค กุมชะตา ‘บิ๊กตู่’ สร้างขุมกำลังพี่ใหญ่ ผนึกทีม 3 น. ‘น้อย-นัส-ณัฐ’ ทาบ ‘บิ๊กแป๊ะ’ เสริมทัพ เปิดที่มา ‘พรรคปลัดฉิ่ง’/รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ

 

‘บิ๊กป้อม’ วางหมากยึดพรรค

กุมชะตา ‘บิ๊กตู่’

สร้างขุมกำลังพี่ใหญ่

ผนึกทีม 3 น. ‘น้อย-นัส-ณัฐ’

ทาบ ‘บิ๊กแป๊ะ’ เสริมทัพ

เปิดที่มา ‘พรรคปลัดฉิ่ง’

 

สัญญาณและความเคลื่อนไหวของบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ 3 ป. หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ส่อเค้าการยึดพรรคเองเบ็ดเสร็จ

แม้จะมีการเคลียร์ใจกับบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แล้วก็ตาม

ประหนึ่งไม่มั่นใจว่า หากปล่อยพรรคให้ พล.อ.ประยุทธ์ดูแลในอนาคตจะเอาไหว ไปรอดหรือไม่

เพราะในสายตาพี่ใหญ่เห็นแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์อาจจะเดียงสาในทางการเมือง จนตกหลุมพราง เดินตามเกมของนักการเมือง จนเกือบทำให้แผงอำนาจ 3 ป.เกือบสะบั้น

พล.อ.ประวิตรจึงต้องคุมพรรคเองแบบเบ็ดเสร็จ และกุมชะตาอนาคตของ พล.อ.ประยุทธ์ไว้ในมือ ว่าจะให้เป็นนายกฯ ต่อหรือไม่ แม้จะมีสัญญาเสนอชื่อเป็นนายกฯ ของ พปชร.ก็ตาม แต่มีชื่อนายกฯ สำรอง เบอร์ 2 และ 3 เตรียมไว้ก่อนด้วยแล้ว

พล.อ.ประวิตรจึงต้องการรีแบรนด์พรรค พปชร.ใหม่ ตั้งแต่ยุทธศาสตร์ โครงสร้าง และตัวบุคคลที่จะมาเป็นแม่ทัพนายกอง ที่คีย์แมนข้างกายก็ล้วนแต่เป็นอดีตทหาร

ทั้งการดึงบิ๊กน้อย พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา อดีต ผช.ผบ.ทบ. น้องรักมาช่วยงานในพรรคพลังประชารัฐ นั่งประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค จนถูกมองว่าเป็นหนึ่งในทายาททางการเมือง

แท็กทีมกับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค สายเลือดเตรียมทหาร สายเลือด จปร. เพราะรู้จักกันมายาวนาน และอาจเรียกได้ว่าเป็นลูกพี่ของผู้กองธรรมนัส ที่ยังครองความเป็นลูกรักของบิ๊กป้อมเลยทีเดียว

ไม่แค่นั้น พล.อ.ประวิตรยังดึงน้องเลิฟคนสำคัญอย่างบิ๊กณัฐ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ อดีตปลัดกลาโหม ที่เพิ่งเกษียณ มาช่วยงานร่วมทีมยุทธศาสตร์พรรคของ พล.อ.วิชญ์

เพราะ พล.อ.ณัฐก็เป็นนายทหารที่ติดตาม พล.อ.ประวิตรมายาวนาน เพราะเติบโตมากับ พล.อ.ประวิตร ตั้งแต่อยู่ พล.ร.2 รอ. และไม่เคยห่างกายเลยมากว่า 30 ปี และผลักดันให้ได้เป็นปลัดกลาโหมถึง 3 ปี จนเกษียณ

ยิ่งก่อนเกษียณ พล.อ.ณัฐแม้เป็นปลัดกลาโหม ก็ยังติดตามมาช่วยงาน พล.อ.ประวิตรอยู่ แม้งานกลาโหมจะมากมาย แต่ก็ยังเจียดเวลามาหา พล.อ.ประวิตรทุกวัน เช้า กลางวัน เย็น โดยเฉพาะมากินข้าวมื้อกลางวัน และส่ง พล.อ.ประวิตรกลับบ้าน

โดยมาตั้งสำนักงานเล็กๆ ในมูลนิธิป่ารอยต่อฯ ที่จะนำงานต่างๆ มานั่งทำงานที่นี่ด้วย เพราะต้องเข้ามาทุกวัน

อาจเรียกได้ว่า พล.อ.ณัฐเป็นเสมือนเลขาฯ ส่วนตัวของ พล.อ.ประวิตร ที่จะเป็นคนกลั่นกรองงาน ตรวจงาน ทั้งงานในฐานะรองนายกฯ งานฝ่ายความมั่นคง และตอนนี้มาช่วยดูงานพรรค พปชร.ด้วย

เพราะถือเป็นน้องรักสายเลือดทหารในระดับท็อปเท็นที่ พล.อ.ประวิตรไว้วางใจที่สุด

และถือเป็นแกนนำของเตรียมทหาร 20 จปร.31 ที่มีบทบาททั้งตอนอยู่ในกองทัพ และแม้เกษียณแล้ว

นอกจาก พล.อ.ณัฐแล้วยังมีบิ๊กตู่เล็ก พล.อ.กู้เกียรติ ศรีนาคา อดีตรองปลัดกลาโหม น้องรักสายบูรพาพยัคฆ์ ที่มาช่วยงานหลังเกษียณ ทั้งด้านการแก้ปัญหาน้ำ และชายแดนภาคใต้ และบิ๊กป้ำ พล.อ.นภนต์ สร้างสมวงษ์ อดีตรองปลัดกลาโหม ที่มาช่วยดูแล “นายป้อม”

พล.อ.ณัฐยังเป็นเพื่อนรักของบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ อดีต ผบ.ทบ. ที่ทั้ง พล.อ.ณัฐ และ พล.อ.กู้เกียรติ หลบทางให้ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 และ ผบ.ทบ.

ที่สำคัญคือ พล.อ.ประวิตรยังได้แต่งตั้ง พล.อ.ณัฐให้เป็นประธานคณะทำงานติดตามและขับเคลื่อนนโยบาย แนวทาง และมาตรการการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ให้มีความต่อเนื่อง รวดเร็ว แทน ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพพรรค พปชร.ที่ดูแลเรื่องนี้ เมื่อครั้งที่เป็น รมช.เกษตรฯ เพราะถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของนโยบาย พล.อ.ประวิตร ในการเข้าถึงชาวบ้านทั่วประเทศเลยทีเดียว

โดยที่จะทำงานร่วมกับบิ๊กโจ๊ก พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผช.ผบ.ตร. ที่ทาง สตช.มอบหมายให้แก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ที่มักจะยึดโฉนดที่ดินของชาวบ้านอย่างไม่เป็นธรรม

เพราะในระยะหลังๆ มานี้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ลูกเลิฟของ พล.อ.ประวิตร ก็กลับมาเข้า-ออกมูลนิธิป่ารอยต่อฯ พบปะ พล.อ.ประวิตรอยู่เนืองๆ

เพราะ พล.อ.ณัฐมีความสัมพันธ์ที่ดีกับ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ และทีมงานของ พล.อ.ประวิตรทุกคน เพราะถือว่าเป็นน้องรักที่รู้ใจ พล.อ.ประวิตรที่สุด

รวมทั้งบิ๊กช้าง พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม สายตรงบิ๊กป้อม

ท่ามกลางการจับตามองว่า พล.อ.ณัฐก็จะเป็นทายาททางการเมืองอีกคนของ พล.อ.ประวิตร ที่จะมาช่วยดูแลพรรคพลังประชารัฐในเจเนอเรชั่นต่อไป

และมีแนวโน้มที่จะลงเล่นการเมืองในการลงสมัครรับเลือกตั้ง เพราะ พล.อ.ณัฐก็ทำพื้นที่ที่กาญจนบุรีมายาวนาน ตั้งแต่สมัยเป็น ผบ.พล.ร.9

และถือเป็นแคนดิเดต รมต.ในอนาคต เมื่อพ้นระยะเว้นวรรคทางการเมือง หลังเป็น ส.ว.ในอีก2 ปีข้างหน้าอีกด้วย

หลัง พล.อ.ประวิตรฮึดจะทำงานการเมือง และดูแลพรรคพลังประชารัฐอย่างเต็มที่เต็มตัว ไม่ใช่เป็นแค่หัวหน้าพรรคขัดตาทัพอีกต่อไป ตั้งแต่เกิดปัญหากับ พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตรก็เรียกบรรดาน้องรักที่ไว้ใจกลับมาอยู่ข้างกาย เพื่อช่วยกันทำงาน โดยมี พล.อ.วิชญ์เป็นพี่ใหญ่

รวมถึงการชักชวนบิ๊กแป๊ะ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีต ผบ.ตร. น้องรักสายสีกากี ให้เข้าพรรคพลังประชารัฐ หลังจากที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ตัดสินใจถอนตัวไม่ลงสมัครชิงผู้ว่าฯ กทม.

โดย พล.อ.ประวิตรเสนอให้คุมพื้นที่อีสานเหนือ ตามโครงสร้างของพรรค พปชร.ที่จะแบ่งความรับผิดชอบตามภาค จากเดิมที่ พล.อ.ประวิตรเคยให้เสธ.อ้น พล.อ.กนิษฐ์ ชาญปรีชญา ส.ว. น้องรักนายกฯ พร้อมด้วยบิ๊กทหารที่เคยอยู่กองทัพภาคที่ 2 ช่วยดูแลพื้นที่ แต่ระยะหลัง พล.อ.ประวิตรก็ไม่ใช้งานเสธ.อ้นแล้ว แต่มอบให้บิ๊กอี๊ด พล.อ.ธัญญา เกียรติสาร อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ช่วยดูแล

แต่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ยังไม่ตัดสินใจ เพราะรอดูสถานการณ์ในพรรค พปชร.ก่อน โดยเฉพาะความสัมพันธ์ 3 ป. “ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์” จะสมานกันได้จริงหรือไม่ เพราะ พล.ต.อ.จักรทิพย์ได้รับผลกระทบโดยตรง จนทำให้ต้องยกธงขาวสนามผู้ว่าฯ กทม.

ด้วยเพราะ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ยืนกรานที่จะลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. ไม่หลีกทางให้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ แม้จะมีการเปิดใจคุยกัน 3 คน โดยมี ร.อ.ธรรมนัสร่วมวงเจรจาด้วย

ท่ามกลางกระแสข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์สนับสนุน พล.ต.อ.อัศวินมาตั้งแต่ต้น และมั่นใจว่าได้เปรียบเพราะเป็นผู้ว่าฯ กทม.มานาน มั่นใจในทีมงานและเครือข่ายที่ได้วางเอาไว้

รวมทั้งได้เคลียร์ใจกัน ปมที่คนใกล้ชิด ร.อ.ธรรมนัสไปช่วยงาน พล.ต.อ.อัศวิน จนทำให้ พล.ต.อ.จักรทิพย์คลางแคลงใจ ที่ก็ได้คำตอบว่า ไปเป็นการส่วนตัว และติงที่ พล.ต.อ.อิศวินไม่บอกไม่กล่าวก่อน

เพราะสายสัมพันธ์ของ พล.ต.อ.จักรทิพย์กับ ร.อ.ธรรมนัสนั้น แนบแน่นยาวนาน จน ร.อ.ธรรมนัสใช้คำว่า คอหอยกับลูกกระเดือก และคนในครอบครัวเดียวกัน จึงไม่มีวันที่จะขัดแย้งกัน

แต่ด้วยเหตุที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ยังติดที่ต้องเว้นวรรคทางการเมือง 2 ปี หลังจากพ้นจาก ส.ว.มาเมื่อ 30 กันยายน 2563 จึงทำให้ยังไม่สามารถเปิดตัวในสนามใหญ่ในนามพรรคพลังประชารัฐได้

อย่างไรก็ตาม คาดกันว่า หากเข้าพรรคพลังประชารัฐได้ ก็จะทำให้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ถูกจับตามองในฐานะทายาททางการเมืองอีกคนของบิ๊กป้อม เพราะถึงอย่างไร พล.ต.อ.จักรทิพย์ก็ยังเป็นน้องรัก แม้ว่าช่วงที่มีปัญหากับบิ๊กโจ๊ก จะทำให้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ต้องถอยห่างจาก พล.อ.ประวิตรไปบ้าง

แต่ พล.อ.ประวิตรคือพี่ผู้มีพระคุณที่ทำให้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ได้เป็น ผบ.ตร. ทั้งๆ ที่อายุราชการในตอนนั้นเหลือถึง 5 ปี แต่ก็ขึ้นมาเลย และอยู่ยาว 5 ปีจนเกษียณ ทำลายสถิติ

ท่ามกลางการถูกจับตามองว่า การเปลี่ยนแผนจากสนามเล็ก สนามเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. มาสู่สนามใหญ่ สนามเลือกตั้ง ส.ส. พล.ต.อ.จักรทิพย์น่าจะมีตำแหน่งสำคัญรองรับทั้งในพรรคและนอกพรรค

เพราะในอนาคต เมื่อ พล.อ.ประวิตรถอยออกไปอยู่ข้างหลัง บรรดาน้องเลิฟเหล่านี้ก็จะมาดูแลพรรค พปชร.ต่อไป โดยเฉพาะ พล.ต.อ.จักรทิพย์ที่อาจมีชื่อในแคนดิเดตนายกรัฐมนครี เพราะไม่ใช่แค่ พล.อ.ประวิตร แต่ ร.อ.ธรรมนัสน้องรักหนุนเต็มที่

ไม่ใช่แค่เพราะ พล.ต.อ.จักรทิพย์เป็นพี่ที่มีพระคุณที่ดูแลช่วยเหลือ ร.อ.ธรรมนัสมาตั้งแต่จบจาก รร.นายร้อย จปร.เท่านั้น แต่ยังช่วยอุ้มชูในช่วงที่ ร.อ.ธรรมนัสทำธุรกิจช่วงแรกๆ เพราะแม้จะโตมากับเสธ.ไอซ์ พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต นายทหารผู้กว้างขวางในตำนาน

แต่ในแวดวงเส้นทางเดิน ก็ต้องอาศัย พล.ต.อ.จักรทิพย์ด้วย

พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ

จึงไม่แปลกที่ทั้ง พล.ต.อ.จักรทิพย์ และ ร.อ.ธรรมนัส เคยคิดเรื่องการตั้งพรรคการเมืองด้วยกัน จนเป็นที่มาของการตั้งพรรคของปลัดฉิ่ง นายฉัตรชัย พรหมเลิศ สมัยเป็นปลัดมหาดไทย ที่มี ร.อ.ธรรมนัสเป็นที่ปรึกษา เพราะเป็นเสมือนเพื่อนรุ่นพี่ของ ร.อ.ธรรมนัส

และทาบ พล.ต.อ.จักรทิพย์มาเป็นหัวหน้าพรรค แต่เวลานั้น พล.ต.อ.จักรทิพย์ตัดสินใจจะลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. ตามที่ พล.อ.ประวิตรชักชวน และเป็นสนามท้องถิ่นที่เล่นได้ เพราะไม่ติดขัดตรงที่เว้นวรรคการเมือง 2 ปี หลังพ้น ส.ว.

แต่ทั้ง พล.ต.อ.จักรทิพย์ และ ร.อ.ธรรมนัส ก็ช่วยกันวางแผนในการสร้างพรรคเพื่อสำรองไว้กรณีเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง และเป็นพรรคที่รวมตัวของงูเห่าที่จะย้ายมาจากพรรคอื่น เพื่อมารอเป็นพันธมิตรของ พปชร.

แต่ด้วยความใกล้ชิดกับบิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ในตอนนั้น จึงทำให้พรรคของปลัดฉิ่งถูกมองว่า เป็นพรรคสำรองของ 3 ป.

ดังนั้น เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน ก็ต้องเปลี่ยนแผน จากที่แยกกันเดิน ก็จะมารวมกันตี มารวมตัวกันในพรรค พปชร.เพื่อสู้ศึกเลือกตั้ง

จึงมีการทาบทามนายฉัตรชัยให้เข้าพรรค พปชร. โดยจะให้เป็นรองหัวหน้าพรรค และคุมยุทธศาสตร์เลือกตั้ง ในฐานะที่อยู่มหาดไทยมานาน และมีคอนเน็กชั่นกับแกนนำพรรคการเมืองหลายพรรค

ดังนั้น นายฉัตรชัยเมื่อวันที่เกษียณจากปลัดมหาดไทยแล้ว ก็ไม่ใช่คนของ พล.อ.อนุพงษ์ แต่จะสายตรงกับ พล.อ.ประวิตร และจับขั้วกับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ และ ร.อ.ธรรมนัสสร้างขั้วอำนาจใหญ่ในพรรค

ดูจากการวางตัวแม่ทัพนายกอง ขุนพลของ พล.อ.ประวิตรแล้ว เสมือนจะอยู่ดูแลพรรคเอง ยึดพรรคเอง โดยไม่ปล่อยให้ พล.อ.ประยุทธ์มายึดพรรค มาเป็นหัวหน้าพรรค เช่นที่เคยวางแผนกันไว้สมัยก่อน

อีกทั้ง พล.อ.ประวิตรก็ใช้ความคิดเห็นของ ส.ส.พปชร.ราว 120 คน ที่เขียนใส่กระดาษเอ4 เมื่อวันประชุมพรรคที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ มาเป็นแรงกดดันให้ พล.อ.ประยุทธ์รู้สถานภาพของตนเองในสายตา ส.ส. จน พล.อ.ประยุทธ์ต้องปรับตัว

และต้องยอมทำตามข้อตกลง 3 ป.เดิม ที่ให้นายกฯ มีอำนาจตัดสินใจในเรื่องรัฐบาล ครม. และการบริหารประเทศ ส่วนเรื่องในพรรค เป็นอำนาจหน้าที่ พล.อ.ประวิตร แถมทั้งยังได้เสียงส่วนใหญ่แบบเอกฉันท์ หนุนให้เป็นหัวหน้าพรรคต่อไป

สถานการณ์แวดล้อม โดยเฉพาะการปรับกลยุทธ์ของพรรคเพื่อไทย ที่ถูกเปรียบเทียบกับภาพพจน์ของพรรคพลังประชารัฐ ที่แตกแยกอย่างหนัก ส่งผลให้พี่น้อง 3 ป.ต้องทบทวนตัวเอง

ประกอบกับมีทั้งพี่น้องและเพื่อน เตือนสติและให้กำลังใจ ให้ 3 ป.เคลียร์ใจและกลับมารักกัน แม้จะไม่เหมือนเดิม แต่ก็เพื่อคงความเป็นอมตะของแผงอำนาจ 3 ป. บูรพาพยัคฆ์ ไม่ใช่ให้เหลือไว้เพียงตำนาน เพราะถ้า 3 ป.แตกกัน ก็ย่อมหมายถึงทั้งพังและพ่ายแพ้

จึงทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ต้องเจรจากับ พล.อ.ประวิตรอีกครั้ง ด้วยการยอมถอยของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ยอมเชื่อคำชี้แจงของ พล.อ.ประวิตร เรื่องในพรรค พร้อมยืนยันจะเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ หมายเลข 1 ในการเลือกตั้งครั้งหน้า

และให้นายกฯ เคลียร์ใจกับ ร.อ.ธรรมนัสอีกครั้งหลังจากที่เคยคุยกันตัวต่อตัวยาวเกือบ 2 ชั่วโมงที่บ้านป่ารอยต่อฯ มาแล้วครั้งหนึ่ง

โดยจากนี้ ให้นายกฯ และ ร.อ.ธรรมนัสคุยเองโดยตรง เพื่อป้องกันความเข้าใจผิด

จนทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ยอมรับว่าเคยคุยกับ ร.อ.ธรรมนัสแล้วจริง และระบุว่า “ถ้าไม่มีใครยุแยงตะแคงรั่ว ความสัมพันธ์ก็ยังคงดีอยู่”

ที่ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า พล.อ.ประยุทธ์หมายถึงใคร แต่ก็ย่อมหมายถึงคู่กรณีของ ร.อ.ธรรมนัสนั่นเอง

อันเป็นการสะท้อนว่า พล.อ.ประยุทธ์ยอมรับว่า ที่ผ่านมาถูกเป่าหู ยุแยงตะแคงรั่ว ให้เข้าใจผิดในตัว ร.อ.ธรรมนัส ที่ประโยคนี้ทำให้ ร.อ.ธรรมนัสยิ้มได้ ที่นายกฯ รู้ความจริง

ท่ามกลางกระแสข่าวถึงข้อตกลงระหว่าง 2 ป. ว่า รัฐบาลสมัยหน้า จะให้ ร.อ.ธรรมนัสกลับมาเป็นรมต. และเป็น รมว.เลยทีเดียว เพื่อชดเชย เยียวยาที่ปลดออกจาก รมช.เกษตรฯ เพราะความเข้าใจผิดว่าจะล้มล้างนายกฯ กลางสภาครั้งนั้น

 

บรรยากาศความสัมพันธ์ของพี่น้อง 3 ป. และ ร.อ.ธรรมนัสจึงดีขึ้น สถานการณ์การเมืองในพรรคคลี่คลายลง แม้จะมีการแบ่งกลุ่ม พวกที่ไม่เอา ร.อ.ธรรมนัส ชัดเจนก็ตาม

จน พล.อ.ประวิตรเชิญพรรคร่วมรัฐบาล ร่วมรับประทานอาหารพูดคุยกันอีกครั้ง 26 พฤศจิกายนนี้ ที่เดิม สโมสรราชพฤกษ์ ที่เคยจัดปาร์ตี้นี้มาเมื่อธันวาคม ปี 2562 โดย พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.อนุพงษ์จะมาร่วมเพื่อแสดงความสตรองอีกครั้งของ 3 ป. และคาดว่าจะแสดงบทหวานกับ ร.อ.ธรรมนัส สยบร้าวด้วย

แต่ไม่มีใครรู้ว่า การเจรจายุติศึกของ 3 ป.ครั้งนี้ จะเป็นเพราะเข้าใจกันจริง หรือแค่ยอมอ่อนลง ยอมถอย เพื่อให้พรรคเดินต่อ และไม่ถูกโจมตีว่าแตกแยกหรือไม่

เพราะแก้วที่ร้าวแล้ว ยากที่จะสมานให้เป็นดั่งเดืม จึงอาจเป็นแค่พักรบชั่วคราว ทำศึกนอกก่อนที่จะกลับมาทำศึกใน เมื่อชนะศึกนอกแล้ว

หรือการเลือกตั้งครั้งหน้านี้ จะเป็นตัวชี้วัดว่า พี่น้อง 3 ป.ยังเหนียวแน่นกันอยู่จริงหรือไม่ เพราะว่ากันว่า พี่ใหญ่วางหมากทุกกระดานเตรียมไว้แล้ว