ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ | ปาร์ตี้รัฐบาล ไม่ใช่ทางออกของประเทศ

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

ชาวนาคือกระดูกสันหลังของประเทศในความรู้สึกของคนไทย และต่อให้รายได้ของประเทศจะมาจากภาคอุตสาหกรรมมากกว่าการค้าข้าวหรือภาคเกษตร จำนวนชาวนาหรือเกษตรกรก็ยังมีมากจนเป็นสัญลักษณ์ของ “คนส่วนใหญ่” เสมอ ไม่ว่าประชากรอาชีพอื่นจะเพิ่มแค่ไหนก็ตาม

ด้วยความที่ชาวนาเป็นสัญลักษณ์ของ “คนส่วนใหญ่” ในสังคม ผู้มีอำนาจจึงต้องอ้างว่าตัวเองทำเพื่อชาวนาในด้านใดด้านหนึ่งเสมอ ไม่ว่าจะรัฐบาลที่ทำเพื่อชาวนาจริงๆ ตามนโยบายที่ชาวนาเลือกผ่านการเลือกตั้ง หรือรัฐบาลที่ทำเพื่อตัวเองโดยยัดเยียดชาวนาให้สยบต่อนโยบายรัฐบาล

รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ขินวัตร และพรรคเพื่อไทยมีนโยบายจำนำข้าวเป็นกลไกในการช่วยชาวนาจนถึงปี 2556 อย่างที่ทุกคนรู้กัน และเพื่อจะบอกว่าตัวเองทำเพื่อประชาชนกว่ารัฐบาลที่ประชาชนเลือก คุณประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงต้องล้มล้างและยัดคดีจำนำข้าวให้คุณยิ่งลักษณ์ รวมทั้งโจมตีนโยบายนี้จนปัจจุบัน

อย่างไรก็ดี ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่าคุณประยุทธ์ไม่ประสบความสำเร็จในการช่วยชาวนา ไม่สามารถทำให้สังคมเชื่อว่าเป็นรัฐบาลที่ทำเพื่อคนส่วนใหญ่ ล้มเหลวในการทำให้ชาวนามีรายได้อย่างที่ควรได้ และพังพินาศโดยสิ้นเชิงในการทำให้ชาวนามีรายได้อย่างยุคยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทย

ไม่ว่าอะไรจะดีกว่ากันในแง่หลักวิชาระหว่าง “จำนำข้าว” กับ “ประกันราคา” ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในยุคประยุทธ์คือ “ประกันราคา” ล้มเหลวในการยกระดับชีวิตชาวนาอย่างที่สุด เจ็ดปีของคุณประยุทธ์จึงเป็นเจ็ดปีที่หนี้ครัวเรือนพุ่งทะยาน รายได้ลด เช่นเดียวกับราคาข้าวดิ่งเหวลง

ล่าสุด ราคาข้าวอยู่ที่โลละ 5 บาทกว่าๆ ซึ่งต่ำที่สุดในรอบหลายปี ขณะที่ราคาต่อตันอยู่ที่ 8,000 กว่าบาท ซึ่งต่ำกว่า 16,000 บาทสมัยยิ่งลักษณ์อย่างเทียบไม่ได้ ชาวนาที่พอมีทุนจึงหันไปสีข้าวเองแล้วตั้งแผงขายริมถนน

แต่ชาวนาที่ไม่มีทุนและอยู่ห่างไกลก็ไม่สามารถทำแบบนี้ได้เลย

คนไทยชอบพูดว่าทุกข์ชาวนาคือทุกข์แผ่นดิน แต่ความจริงคือชาวนาทุกข์จากน้ำท่วมและข้าวราคาร่วงโดยมีความอาทรจากแผ่นดินน้อยมาก

ส.ส.เพื่อไทยควรได้เครดิตที่หว่านข้าวในสภาเพื่อสะท้อนทุกข์ของชาวนา

เพราะหลังจากนั้นคนก็พอจะรู้มากขึ้นว่าชาวนาตอนนี้ทุกข์จริงๆ

พูดก็พูดเถอะ ปัญหาราคาข้าวตกต่ำในยุครัฐบาลประยุทธ์เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2558-2559 และมีมาเกือบทุกปี จะแตกต่างก็เพียงชาวนาหลายปีก่อนหาบข้าวขาย

ส่วนชาวนาปีนี้สีข้าวขายริมถนน แต่ในแง่เนื้อหาสาระ, ความล่าช้าในการแก้ปัญหา และความห่วยของรัฐบาลนั้นไม่ต่างกันเลย

รัฐบาลประยุทธ์ไม่ใช่รัฐบาลของคนส่วนใหญ่ในแง่ประชาธิปไตย และด้วยความเฉื่อยชาที่คุณประยุทธ์มีต่อปัญหาชาวนามานาน

คุณประยุทธ์ได้ตอกย้ำว่ารัฐบาลนี้ไม่ใช่รัฐบาลของคนส่วนใหญ่ในแง่ปัญหาปากท้อง จนไม่รู้จริงๆ ว่าจะอ้างความเป็นรัฐบาลของประชาชนได้อย่างไร

ชาวนากระจายอยู่ทุกภาคของประเทศไทย แต่จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ชาวนาอีสานคือชาวนากลุ่มที่ออกมาโวยวายเรื่องข้าวราคาตกมากที่สุด

ความเฉยชาของรัฐบาลต่อปัญหาราคาข้าวจึงทำให้เกิดความมึนตึงของคนอีสานต่อรัฐบาลแน่ๆ ต่อให้จะไม่มีใครพูดเรื่องนี้ออกมาตรงๆ ก็ตาม

ถ้าข้าวราคาตกคือปัญหาของคนส่วนใหญ่ด้านเศรษฐกิจ การเหยียดคนอีสานก็คือปัญหาของคนส่วนใหญ่ด้านสังคม สิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกันในสองกรณีคือรัฐหายไปเฉยๆ จากปัญหาที่กระทบคนส่วนใหญ่แบบนี้ ขณะที่ฝ่ายซึ่งไม่ใช่รัฐกลับเป็นตัวละครหลักในการแก้ปัญหานี้อย่างชัดเจน

พรรคเพื่อไทยไม่ได้ทำอะไรให้ปัญหาเหยียดอีสานหมดไป แต่เมื่อเทียบกับพลังประชารัฐหรือองค์กรอื่นที่ไม่พูดเรื่องนี้เลย

เพื่อไทยอีสานคือองค์กรระดับนี้องค์กรเดียวที่ตอบโต้การเหยียดอีสานมากที่สุด ซึ่งเท่ากับเป็นการตอกย้ำความอาทรต่อคนส่วนใหญ่ในประเทศโดยปริยาย

คุณประยุทธ์พูดกรณี “เหยียดอีสาน” ไม่มาก เช่นเดียวกับแทบไม่ได้ทำอะไรในเวลาที่ควรทำในกรณีข้าวชาวนา ผลก็คือรัฐหายไปเฉยๆ (Withering Away) ในเวลาที่ประชาชนทนทุกข์จนต้องการการคลายทุกข์ หรืออีกนัยคือคุณประยุทธ์ทำให้รัฐไม่ยึดโยง (Relevant) กับมวลชนเลย

ตรงข้ามกับรัฐเผด็จการหลังรัฐประหาร 2557 ที่ใช้เพลงโง่ๆ และคำขวัญกากๆ หลอกลวงว่าเป็นรัฐของประชาชน

คุณประยุทธ์วันนี้ไม่แคร์ที่ประชาชนค้นพบว่ารัฐไม่ใช่ของประชาชนทั้งในแง่โครงสร้างการเมืองและความรู้สึกนึกคิด ส่วนจะเป็นของใครก็สุดแท้แต่วิจารญาณของแต่ละคน

มองในแง่ภาพกว้าง คนไทยกำลังเจอรัฐที่ต้องการให้ประชาชนยอมสยบต่ออำนาจรัฐ แต่ไม่สนใจที่จะทำให้ประชาชนรู้สึกว่ารัฐบาลเป็นของประชาชน

พูดอีกแบบก็คือ เรากำลังมีรัฐบาลที่หมกมุ่นต่อการรักษาอำนาจถึงจุดซึ่งไม่สนที่ประชาชนมองว่าอำนาจไม่ได้ถูกใช้เพื่อประชาชน

ถ้าเปรียบเทียบกับอดีตนายกฯ ที่เป็นแถวหน้าของการคิดนโยบาย คุณประยุทธ์ซึ่งหลังรัฐประหาร 2557 สร้างรัฐที่นโยบายห่วยก็ค่อยๆ กลายเป็นรัฐที่ไม่มีนโยบายหรือยุทธศาสตร์อะไรในปี 2564 จนการใช้อำนาจรัฐเป็นแค่การดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวันๆ

ขณะที่คุณประยุทธ์หลังรัฐประหารผลักดันนโยบายประชานิยมที่ไม่มีทักษิณอย่างบัตรคนจนหรือ EEC คุณประยุทธ์ตอนนี้มีแต่ข่าวความขัดแย้งในพลังประชารัฐ, แย่งอำนาจกับคุณประวิตร วงษ์สุวรรณ, การโค่นล้นคุณธรรมนัส พรหมเผ่า, ดันนักการเมืองฮาร์ดคอร์คุมวิปรัฐบาล ฯลฯ ซึ่งไม่มีสาระอะไรเลย

ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนไม่น้อยมองคุณประยุทธ์ว่า “บ้าอำนาจ” ตั้งแต่ยึดอำนาจแล้วตั้งตัวเองเป็นนายกฯ แต่คำว่า “บ้า” ในสังคมไทยมีความหมายทั้งลบและบวก อย่างบ้างาน, บ้าข่าว, บ้าบอล ฯลฯ รัฐบาลวันนี้จึงเลยจาก “บ้าอำนาจ” ไปสู่ “ลุแก่อำนาจ” นั่นคือใช้อำนาจเพื่อผู้มีอำนาจเอง

เมื่ออำนาจรัฐไม่ยึดโยงกับความเดือดร้อนประชาชน วิธีจรรโลงอำนาจก็ย่อมมาจากการจัดสรรตำแหน่งและแจกจ่ายผลประโยชน์ในกลุ่มผู้มีอำนาจทั้งหมด รัฐบาลจึงมีแต่ข่าวประเภทสามมิตรชนธรรมนัส, สันติ พร้อมพัฒน์ พร้อมขึ้นเลขาฯ, สุชาติ ชมกลิ่น รับงานใหญ่ ฯลฯ ราวประเทศเป็นขนมเค้กแบ่งกันกิน

ล่าสุดของล่าสุด คุณประยุทธ์อยู่ดีๆ ก็ประกาศว่าตัวเองมีโอกาสถูกโหวตล้มกลางสภา จากนั้นก็ประกาศต่อว่าใครทำร้ายรัฐบาลเท่ากับทำร้ายประเทศ

และถึงแม้คำพูดนี้จะถูกประชาชนด่ากระหึ่มว่ามองประเทศเท่ากับรัฐบาล คุณประยุทธ์ก็ประกาศจัดปาร์ตี้กินฟรีพรรครัฐบาลด้วยกัน

มองตามความจริง สภาตอนนี้ทำได้แค่อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลแบบไม่ลงมติ โอกาสที่รัฐบาลจะถูกคว่ำเพราะแพ้มติจึงเป็นไปไม่ได้

ทางเดียวที่รัฐบาลอาจถูกคว่ำได้แก่การเสนอกฎหมายแล้วสภาไม่ผ่าน แต่คุณประยุทธ์ก็ไม่เสนอกฎหมายอะไรจนเรื่องนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นได้อยู่ดี

พูดตรงๆ ความเชื่อว่าสภาจะล้มรัฐบาลสะท้อนความหวาดระแวงที่คุณประยุทธ์มีต่อสภาและคนในรัฐบาลด้วยกัน

ไม่มีใครรู้ว่าความหวาดระแวงนี้มีมูลหรือคุณประยุทธ์ประสาทกิน แต่ที่แน่ๆ การมีผู้นำที่หมกมุ่นกับเรื่องนี้เป็นปัญหากับประเทศพอๆ กับการมีรัฐบาลที่จ้องแต่จะแทงกันเอง

เห็นได้ชัดว่าประเทศเดินหน้าสู่ความมืดมน และยิ่งนานความมืดมนก็ดูจะกลายเป็นอนาคตของประเทศไปอย่างไม่รู้จบ เพราะประเทศที่ถูกยึดโดยคนกลุ่มที่ไม่มีความสามารถตั้งแต่ปี 2557กำลังถูกปู้ยี่ปู้ยำยิ่งขึ้นจากคนกลุ่มเดิมซึ่งความมุ่งมั่นในการมีอำนาจเหลือแค่การรักษาอำนาจตัวเอง

มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก เพิ่งพูดถึง Metaverse หรือการดำรงอยู่ของคนในโลกหลายแบบในเวลาเดียวกัน และในเมื่อรัฐพึ่งพิงไม่ได้ต่อไป สังคมไทยก็กลายเป็นสังคมที่คนหนึ่งคนมีโลกหลายใบเพื่อความอยู่รอดของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าโดยขายของออนไลน์, บิตคอยน์ หรืออะไรก็ตาม

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เคยพูดในสภาถึงสภาพระบอบปรสิตกัดกินประเทศในปัจจุบัน แต่ที่จริงคำพูดของพิธาเรื่องนี้สะท้อนมุมมองที่คนรุ่นใหม่พูดมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าประเทศวันนี้อยู่ภายใต้การปกครองของ “ชนชั้นปรสิต” ที่กอบโกยทุกอย่างซึ่งมีรัฐบาลเป็นกลไกที่สำคัญ

ปรสิตเหมือนกาฝากที่จะเกาะกินสิ่งมีชีวิตจนกว่าจะตายไป ทางเลือกของประเทศภายใต้ระบอบปรสิตจึงมีแค่การถูกเกาะกินจนประเทศพัง หรือไม่อย่างนั้นก็คือการปกป้องประเทศจากระบอบปรสิต อนาคตของประเทศขึ้นอยู่กับความสามารถในการพาประเทศพ้นภาวะนี้ให้ทันท่วงที

ไม่มีเวลาไหนแล้วที่การเปลี่ยนประเทศครั้งใหญ่สำคัญต่อความอยู่รอดของประเทศเท่าสมัยปัจจุบัน