ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 12 - 18 พฤศจิกายน 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | หลักศิลากลางน้ำเชี่ยว |
ผู้เขียน | มุกดา สุวรรณชาติ |
เผยแพร่ |
หลักศิลากลางน้ำเชี่ยว
มุกดา สุวรรณชาติ
การเลือกตั้ง และจัดตั้งรัฐบาล ปี 2565
ศูนย์วิจัย มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ที่ทำวิจัยเรื่อง…คนกรุงเทพฯ ต้องการนายกรัฐมนตรีคนต่อไปแบบใด… มองดูจากผลโพลแล้วคิดว่าคนทั่วไปคงไม่เชื่อถือ ยิ่งกว่าโพลเชียร์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถึงขนาดอาจารย์ที่ปรึกษาศูนย์วิจัย อายจนต้องลาออก
เพราะการเลือกตั้งที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ไม่ได้ ส.ส.กรุงเทพฯ แม้แต่คนเดียว
มาวันนี้ บอกว่าคนกรุงเทพฯ อยากให้หัวหน้าพรรค ปชป.เป็นนายกฯ ทำได้ไง
ทีมวิเคราะห์จึงขอประเมินการเมืองข้างหน้าแบบวิเคราะห์ โดยไม่ต้องทำสำรวจ แต่จะดูจากการเลือกตั้งในอดีต วิธีการเลือกตั้งครั้งหน้า กรอบรัฐธรรมนูญ ผลงานปัจจุบัน กระแสความนิยมของประชาชน อำนาจในมือของฝ่ายต่างๆ และกำลังทุนสนับสนุน ซึ่งน่าจะเป็นเหตุเป็นผลมากกว่า มีความน่าเชื่อถือมากกว่า
ประเมินความสามารถแต่ละพรรคการเมืองภายใต้สมมุติฐานที่ว่า ไม่มีอุบัติเหตุทางการเมือง พรรคร่วมรัฐบาลยังต้องกลบความขัดแย้งไว้ รอแบ่งเสบียงอาหารที่จะปรุงเสร็จ ตั้งแต่ต้นปี จนถึงอย่างน้อยเดือนพฤษภาคม 2565
ดังนั้น การเลือกตั้งจะมีขึ้นระหว่างเดือนสิงหาคมถึงเดือนธันวาคม 2565 โดยวิธีใช้บัตร 2 ใบ ส.ส.เขตมี 400 เขต ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์มี 100 คน ผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนประมาณ 52 ล้านคน ผู้มาใช้สิทธิ์และบัตรที่นับคะแนนได้อย่างสมบูรณ์นำมาคิดคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ จะอยู่ที่ประมาณ 36 ล้านใบ พรรคจะได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 1 คน ต้องมี 360,000 คะแนน
ตีคร่าวๆ ว่า 1 ล้านคะแนนได้ 3 คน
วิเคราะห์ความสามารถการแข่งขัน
ในสนามเลือกตั้ง 2565
พรรคเพื่อไทย
เดิมชนะเขต 136 เขต ไม่ได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เลยเพราะเป็นระบบบัตรใบเดียว
แต่ครั้งใหม่นี้ แม้ส่งลงครบทั้ง 400 เขต ก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้เปรียบในเขตที่เพิ่มขึ้น เพราะแต่เดิมเขตที่ไม่ส่งนั้นเป็นเขตอ่อน ที่ไม่ชนะ ดังนั้น ถึงจะส่งลงเกือบครบ ก็จะได้ ส.ส.เขตเพิ่มขึ้นอีกไม่มากบางเขต
อาจต้องเสียให้แนวร่วมอย่างก้าวไกล
บางเขตจะแพ้ให้พรรครัฐบาลจากการแข่งกันเอง
ส.ส.ตัวเต็งจะถูกฝ่ายรัฐบาลดูดไปก่อนสมัคร แต่จะได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์เพิ่มขึ้นจากเขตที่ไม่ชนะที่ 1 แต่ได้ที่ 2-3
ประเมินได้ว่าพรรคเพื่อไทยจะได้ชนะ ส.ส.เขต 150 เขต ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 28 คน รวม 178 คน
พรรคพลังประชารัฐ (ถ้าไม่แตกกัน)
เดิมชนะเขต 97 เขต ในการเลือกตั้งครั้งใหม่น่าจะสูญเสียที่นั่งใน กทม.เกือบทั้งหมด
และยังเสียที่นั่งภาคใต้คืนไปให้ประชาธิปัตย์ด้วย
เพราะคำมั่นสัญญาและนโยบายของพรรคพลังประชารัฐแทบพูดได้ว่าไม่ได้ทำเลยสักข้อ ไม่ว่าจะเป็นค่าแรงขั้นต่ำ โครงการมารดาประชารัฐ เงินเดือนของคนจบปริญญาตรี อย่าว่าแต่ได้เงินเดือนตามสัญญา แม้งานยังไม่มีทำ
แต่กำลังคน อำนาจ และเสบียงกรัง จะสามารถไปชนะในบางเขตได้ที่ภาคอื่น
น่าจะรักษา 97 เขตไว้ได้ส่วน ปาร์ตี้ลิสต์น่าจะได้ประมาณ 21 คน
รวม 118 คน
พรรคก้าวไกล
เดิมชนะเขต 31 เขต แต่มีกว่า 20 เขตที่พรรคเพื่อไทยไม่ได้ส่งแข่ง จึงไม่มีการตัดคะแนนกันในปี 2562
แต่ครั้งใหม่นี้ถ้าเพื่อไทยส่งแข่งอาจทำให้แพ้ทั้งสองพรรค
ถ้ากระแสพรรคก้าวไกลยังแรงต่อเนื่องก็มีโอกาสที่จะไปชนะในเขตใหม่ๆ แต่ก็ไม่ง่ายเพราะครั้งนี้พรรคคู่แข่งเตรียมตั้งรับอย่างไม่ประมาท
ประเมินว่าน่าจะชนะ ส.ส.เขตได้ถึง 31 เท่าเดิม
ส่วน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์นั้นต่อให้มีคะแนนมากกว่าเดิมจาก 6.3 ล้าน เป็น 8 ล้าน (ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งใหม่ประมาณ 900,000 คน) จะได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์แค่ 24 คน
รวม 55 คน
พรรคภูมิใจไทย
เดิมชนะเขตเลือกตั้ง 39 เขต จะต้องไปแย่ง ส.ส.เขตกับพวกเดียวกันเองคือ ปชป. และพลังประชารัฐ บางเขตอาจเสียไป เช่น ภาคใต้และบางส่วนอาจได้เพิ่มกลับมา
ภูมิใจไทยเองการเป็นรัฐบาลที่ผ่านมาก็ไม่มีผลงานชัดเจน
เรื่องเด่นคือเรื่องกัญชานั้นก็จะต้องถูกนำมาโจมตี เพราะการปฏิบัติ ประชาชนไม่สามารถปลูกกัญชาได้จริงตามที่บอก นโยบายกัญชากลายเป็นการจัดไว้ให้กลุ่มทุนใหญ่หาผลประโยชน์ ส่วนประชาชนถ้าทำบ้างอาจถูกจับเพราะทำผิดกฎหมาย
การแก้ปัญหาโควิดก็จะไม่ได้คะแนน แถมจะถูกโจมตีซ้ำ การรักษากำลังเก่าไว้ได้ก็ถือว่าเก่งแล้ว ซึ่งจะต้องใช้วิธีดูด ส.ส.เก่า
ดังนั้น ประเมินว่าน่าจะได้ ส.ส.เขต ประมาณ 40 เขต ส่วนคะแนนปาร์ตี้ จะได้ ส.ส. 12 คน
รวม 52 คน
พรรคประชาธิปัตย์
เดิมได้ ส.ส.เขต 33 เขต ครั้งนี้คงจะได้ ส.ส.จากภาคใต้เพิ่มขึ้น แต่อาจจะไปแพ้ในภาคอื่นๆ แทบทุกภาคเพราะต้องไปแข่งกันเองกับพลังประชารัฐและภูมิใจไทย
ปชป.ไม่มีอะไรเป็นจุดขายเพิ่มขึ้น คนในพรรคมีแต่แตกออกไป
เรื่องอุดมการณ์ประชาธิปไตยก็ขายไม่ได้แล้ว เรื่องผลงานที่ผ่านมาก็ไม่มีอะไรเด่น แถมยังมีพรรคกล้าออกมาดึงคะแนน
ดังนั้น น่าจะได้ ส.ส.เขตประมาณเท่าเดิมคือ 33 คน ต่อให้ได้คะแนนเพิ่มจาก 3.9 ล้านเป็น 4 ล้านกว่า จะได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 14 คน
ได้ ส.ส.รวมลดลง เหลือแค่ 47 คน
ชาติไทยพัฒนา เดิมชนะ 6 เขต น่าจะเหมือนเดิมแต่จะได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เหลือแค่ 2 คน จะมี ส.ส.รวม 8 คน
พรรคประชาชาติ ถ้าไม่ไปรวมกับพรรคเพื่อไทยจะยังรักษา 6 ที่นั่งเอาไว้ได้ ได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 1 คน รวม 7 คน
แต่ถ้าไปรวมกับพรรคเพื่อไทย เขตแถว 3 จังหวัดภาคใต้จะแพ้ประชาธิปัตย์
พรรคเสรีรวมไทย เดิมไม่ชนะเขตเลยได้ 8 แสนกว่าคะแนน ต้องถือว่าเป็นความสามารถของท่านหัวหน้าพรรค เสรีพิศุทธ์ได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 10 คน แต่ครั้งนี้ ส.ส. 1 คนต้องใช้ถึง 3.6 แสนคะแนน โอกาสจะได้ ส.ส.คงมีเพียงแค่ 3 คน
ยกเว้นไปชนะเขตเลือกตั้งบางเขตมาได้ก็จะได้เพิ่มขึ้น
โอกาสเกิด และเติบโตของพรรคใหม่
ขณะนี้กลุ่มมีที่แยกออกไปตั้งพรรคใหม่เพราะคาดว่าจะมีกลุ่มผู้ลงคะแนนจำนวนหนึ่งอยากไปเลือกพรรคใหม่ๆ เดิมทุกกลุ่มคิดว่าเป็นเลือกตั้งบัตรใบเดียวก็ไม่ยาก แต่พลังประชารัฐ และกลุ่มอำนาจเก่า ต้องการสกัดพรรคก้าวไกล จึงขอแก้รัฐธรรมนูญให้เป็น 2 ใบแบบเก่า
ดังนั้น พรรคไม่เด่น คนนำไม่ดีจริง จะได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ไม่กี่คน โดยถ้าจะเกิดเป็นพรรคขนาดกลางได้ (มี ส.ส. 40-50) ในสมัยแรก ก็จะต้องใช้ทุนในการแข่ง ส.ส.เขตมากพอควร
2565 มีเขตเลือกตั้งเพิ่มมา 50 เขตจากครั้งก่อน ยังมีช่องว่างของคะแนนที่จะได้ ส.ส.อีกประมาณ 35 คน จะเห็นว่าครั้งที่แล้วไม่มีพรรคขนาดประมาณ 20-30 เสียง
ซึ่งครั้งนี้ถ้าจะเกิดขึ้นได้ พรรคที่ตั้งขึ้นมาใหม่ต้องมีผู้นำที่พอมีชื่อเสียงมีคุณสมบัติที่ทำให้ประชาชนเชื่อว่าเป็นคนดี มีความสามารถพอสมควร และจะต้องมีผู้สนับสนุนกำลังทุนมากพอ จึงจะมีโอกาสทำให้ได้ ส.ส.เกิน 20 ขึ้นไป เพราะจะต้องส่ง ส.ส.จำนวนมากเกินกว่า 200 เขต
ขณะนี้มีผู้ลงคะแนนส่วนหนึ่งถอยออกมาจากพรรคเดิม ทั้งจากพรรคร่วมรัฐบาล และฝ่ายค้าน ยังมีผู้ที่ไม่ใช้สิทธิ์ซึ่งมีจำนวนไม่น้อย การเลือกแต่ละครั้งมีบางคนถึงกับเป็นกาบัตรทิ้งทำให้บัตรเสีย รวม 2 ล้านใบ แต่คราวนี้สภาพเศรษฐกิจและความเดือดร้อน อาจทำให้เขาอยากหาพรรคที่ตัวเองถูกใจลงคะแนนให้
ดังนั้น การจัดองค์ประกอบของพรรคใหม่ซึ่งมีทั้งตัวบุคคลและนโยบายก็จะต้องถูกใจผู้เลือก เหล่านี้ คนที่มีแนวโน้มว่าจะขึ้นมานำพรรคใหม่ได้จริงขณะนี้คือ
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ จาตุรนต์ ฉายแสง และกรณ์ จาติกวณิช
ประวัติในอดีตของแต่ละคน ทำให้คนเลือกสนับสนุนได้ตามจุดยืน และรสนิยมของตนเอง
ถ้าใครทำได้ไม่ว่าจะ10- 20 เสียง หรือรวมกันแล้วเป็น 30 เสียง จะกลายเป็นเสียงชี้ขาดในการจัดตั้งรัฐบาล และจะมีบทบาทเติบโตได้ต่อไปถ้ามวลชนเชื่อถือ
การจัดตั้งรัฐบาล ปี 2565 อาจยุ่งยาก
เนื่องจากกำลังของฝ่ายรัฐบาลเดิมเมื่อรวมกันแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 230 แม้ฝ่ายค้านเดิมรวมได้เกิน 250 ก็ไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้เพราะไม่มี ส.ว.สนับสนุนให้มีเสียงถึง 376 เสียง
ภายใต้สถานการณ์อย่างนี้จะต้องหาทางออกโดยการตั้งรัฐบาลผสม ถ้าพลังประชารัฐไม่แตกกันและยังมีประยุทธ์เป็นผู้นำ เมื่อกระแสประชาชนต่อต้านสูง โอกาสเป็นผู้นำของประยุทธ์ก็จะหมดลงทันที จะต้องไปหาคนอื่น ซึ่งต้องให้พรรคฝ่ายค้านบางพรรคยอมรับด้วย
แต่ถ้า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ แยกกับ พล.อ.ประยุทธ์ แยกอยู่คนละพรรค สมมุติว่าได้ ส.ส.ฝ่ายละประมาณ 60 คน การร่วมรัฐบาลของพรรค พล.อ.ประวิตรกับพรรคเพื่อไทยอาจเป็นไปได้
แต่นั่นหมายความว่า พล.อ.ประวิตรต้องดึง ส.ว.มาร่วมสนับสนุนไม่น้อยกว่า 70-100 คน
คะแนนของพรรคการเมืองระดับกลางและระดับเล็กจะมีความหมายทุกพรรค เพื่อให้ได้เสียงรวม 376 เสียง
แต่การร่วมรัฐบาลแบบนี้ใช่จะมีผลดีทั้งหมด ถ้ารัฐบาลผสมชุดนี้มีปัญหา พรรคเพื่อไทยก็จะเสื่อมไปด้วย นั่นหมายความว่าในการเลือกตั้งครั้งต่อไปขนาดของพรรคจะเล็กลงอีกในขณะที่พรรคก้าวไกลจะเติบโตขึ้น
ต้องอย่าลืมว่าบทเฉพาะกาลรัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดว่า อายุของวุฒิสภาชุดนี้มีกำหนดห้าปีนับแต่วันที่มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งสมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภา เริ่มตั้งแต่วันที่มีพระบรมราชโองการแต่งตั้ง (11 พฤษภาคม 2567)
ตามมาตรา 272 ในระหว่างห้าปีแรกนับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้ (24 พฤษภาคม 2562) การเลือกนายกฯ มาจากสองสภา แสดงว่าในปี 2565 ส.ว.ยังเลือกนายกฯ ร่วมกับ ส.ส.ได้
ถ้ารัฐบาลใหม่ที่เลือกในปี 2565 อยู่ได้ประมาณ 2 ปีหรือ 3 ปี หลังพฤษภาคม 2567 การเลือกตั้งใหม่จะชี้ขาดการเลือกนายกฯ เฉพาะ ส.ส.เท่านั้น เพราะ ส.ว.จะหมดอำนาจ
นี่คือทิศทางการเติบโตของกระแสประชาธิปไตยแบบค่อยเป็นค่อยไปที่เกิดขึ้น คล้ายๆ หลังพฤษภาทมิฬ 2535 รัฐบาลแต่ละครั้งที่ตั้งขึ้นมาเป็นรัฐบาลผสมและอยู่ได้ประมาณ 2 ปี แต่ก็จะสามารถพัฒนาระบอบประชาธิปไตยและเศรษฐกิจไปได้ มีการยุบสภาหรือนายกฯ ลาออกสลับกันไป ช่วงนั้นเราได้นายกฯ เช่น ชวน หลีกภัย บรรหาร ศิลปอาชา พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และสุดท้ายก็เป็นทักษิณ ชินวัตร พออยู่ถึงสมัยที่ 2 ก็ถูกรัฐประหาร ในขณะที่ประเทศกำลังก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและการเมืองอย่างมาก
การแก้ปัญหาระยาวคือคนทุกชั้น ทั้งคนรวย คนชั้นกลาง คนจน จะต้องสนับสนุนคนและพรรคที่มีความสามารถ มีความซื่อสัตย์สุจริตอยู่ในระดับมาตรฐาน เพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตยให้มั่นคง
และจะต้องสร้างกระบวนการยุติธรรมที่มีมาตรฐานตรวจสอบได้ ขึ้นมาให้ได้
อย่าให้กฎหมายถูกใช้เป็นเครื่องมือในการแย่งชิงอำนาจรัฐของประชาชน