คำ ผกา | โลกทั้งใบไม่เข้าใจสลิ่ม

คำ ผกา

อ่านข่าวเกี่ยวกับห้องคลับเฮาส์ดูถูกคนอีสานแล้วตลกดี

ตลกในแง่ที่หนึ่งคือ ในฐานะคนเชียงใหม่ที่เรียกตัวเองว่า “คนเมือง” และเติบโตมาท่ามกลางผู้คนที่พูด “ไทยไม่ชัด” และการพูดไทยไม่ชัดนั้นก็เป็นที่ถูกล้อเลียน

ถามว่าถูกคนกรุงเทพฯ ล้อเลียนหรือ?

เปล่า เป็นคนเมืองด้วยกันเองนี่แหละที่ล้อเลียนกันเองหนักที่สุด

และเหตุที่คนกรุงเทพฯ ไม่ได้มาล้อเลียนเราก็เพราะเหตุว่า โลกของคนกรุงเทพฯ ยังไม่กว้างขวางพอที่จะรู้ว่าชาวเราพูด “ไทย” ชัดหรือไม่ชัด

เอาเข้าจริงๆ บรรดาคนกรุงเทพฯ จำนวนมากก็ไม่เคยมาเชียงใหม่ หรือไม่เคยเห็นภาคเหนือด้วยซ้ำ บางคนทั้งชีวิตมาเชียงใหม่ครั้งเดียว เที่ยวแค่ดอยสุเทพ ดอยปุย แล้วก็ไม่เคยรู้จักอะไรอีกแล้วเกี่ยวกับเชียงใหม่

ดังนั้น มองจากสายตา “คนเมือง” เราจึงมีภาวะ “เหยียด” คนกรุงเทพฯ มากกว่าจะรู้สึกว่าคนกรุงเทพฯ เหยียดเรา

ยังไม่เท่านั้น เรายังเรียกคนตั้งแต่นครสวรรค์ลงไปว่า “ไทยตูดดำ” บางทีเราก็เรียกคนไทยภาคกลางว่า “คนใต้”

และสำหรับชาวภาคเหนืออย่างเราชอบคิดว่าตนเองเป็นผู้มีผิวขาวผุดผ่อง ส่วนคนใต้นั้นดำจังเลย จึงเรียกพวกเขาว่า “ไทยตูดดำ”

นอกจากไทยตูดดำก็มีคำว่า “เหล่าคนอะไรทำไม” เป็นเรื่องขบขันที่เราเห็น “คนไทย” มาเดินตลาด ทำเสียงกรีดกราด อันนั้นอะไร อันนี้ทำไม ทำไมอย่างนั้น ทำไมอย่างนี้ ว้าย นี่อะไร

เออ อีคนจำพวกอะไรทำไมมาอีกแล้ว เราก็จะ “เหน่ยๆ หน่อย”

เหยียดคน “ไทย” ยังไม่พอ เรายังเหยียดคนเหนือด้วยกันเอง คนเชียงใหม่ชอบล้อคนลำพูนเรื่องขับรถ คนเชียงรายล้อคนพะเยา คนแพร่ถูกล้อหนักสุดเรื่องแห่ระเบิด คนพื้นราบล้อคนดอย คนดอยล้อคนพื้นราบ บางอย่างมีคำพังเพย เช่น “ลื้อบ่ดีเอาเป็นบ่าว ลาวบ่ดีเอาเป็นเชื้อ” (เชื้อคือ เชื้อสาย ทำนองว่าอย่าเอามาทำพันธุ์)

ไม่มีใครให้ล้อให้เหยียดก็เหยียดกันเอง ตั้งสร้อยชื่อคนนั้นเป็นขมุบ้าง อะไรบ้าง ไม่นับความเป็นใบ้ ขาเป๋ ขาโก่ง

น้าของฉันเกิดมานิ้วก้อยด้วน ก็ถูกเรียกว่า “หน้อยก็อด” แปลว่า “น้องน้อยนิ้วกุด”

นี่ยังไม่นับวัฒนธรรมการละลาบละล้วงที่มีอยู่อย่างเป็นปกติ เช่น ทำไมอ้วนขึ้น ทำไมอ้วนมาก ทำไมผอมเหมือนผีตายซาก เมื่อไหร่จะมีผัว เงินเดือนเท่าไหร่ เอาเงินให้แม่เดือนละกี่บาท ได้เงินเดือนเท่าไหร่ เมื่อไหร่จะมีลูก ไม่มีลูกเหรอ อีกหน่อยแก่ตัวไปจะอยู่กับใคร มรดกจะยกให้ใคร ฯลฯ

วิถีชีวิตเช่นนี้ บางครั้งถูกอธิบายว่าเป็นวิถีชีวิตของสังคมก่อนสมัยใหม่ เส้นแบ่งว่าอะไรคือ private อะไรคือ public ไม่ชัดเจน ไม่มีคอนเซ็ปต์ เรื่องความเป็นส่วนตัว ไม่ต้องพูดเรื่องสิทธิเหนือ เนื้อตัวร่างกาย จิตใจ เรื่องเพื่อนคือเรื่องของเรา เรื่องของเราคือเรื่องของชุมชน เผลอๆ เรื่องของเรายังเป็นเรื่องที่ผีบ้านผีเรือนผีบรรพบุรุษผีปู่ย่าเข้ามาแทรกแซงได้หน้าตาเฉย

ส่วนการเหยียดหรือล้อเลียนกันระหว่าง “ชาติพันธุ์” ก็อาจมาจากความหมั่นไส้ ภาวะที่ต้องการ “ขิง” ใส่คนอื่น ไม่ใช่เพราะเหนือกว่าแต่เป็นเพราะอ่อนแอกว่า จึงต้องกลบเกลื่อนด้วยการเอาคนที่เราไปสู้กับเขาทีไรก็แพ้ก็ล้อเลียน เล่นตลก และโดยมากก็ไม่กล้าทำต่อหน้า เก่งแต่เวลาอยู่กับพวกเดียวกันเอง ลับหลังเรียกเขาว่าไทยตูดดำ ต่อหน้าก็ “สวัสดีจ้าว” ยิ้มหวานใส่เขาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ส่วนการล้อกันเองเรื่องพูดไทยไม่ชัดก็มาจากภาวะไม่รู้สึกว่าเป็นปมด้อย เมื่อไม่มีปมด้อยก็ล้อเลียนตัวเองได้ อย่างสมัยนี้ที่เด็กใช้คำว่า “แกงตัวเอง”

อีกระดับหนึ่งคือ ระดับที่มายาคติ เป็นภาพจำเหมารวม เช่น สาวเหนือคือสาวเครือฟ้า เชื่อคนง่าย ถูกคนกรุงเทพฯ หลอก สวยแต่ขี้เกียจจึงชอบงานสบายขายตัว ชาวเหนือก็รู้สึกว่านี่เป็นปัญหาของคน “ไทย” ไม่ใช่ปัญหาของเรา ถ้าอยากเข้าใจอย่างนั้นก็แล้วแต่ และถ้าเธอมาเชียงใหม่แล้วอยากเห็นภาพสาวเหนือเป็นสาวเครือฟ้า เดี๋ยวเราก็จัดให้ได้ เดี๋ยวจะไปเปลี่ยนชุด นุ่งซิ่น มวยผม เหน็บดอกเอื้อง กางจ้อง มาเดินให้ดูนะ

ดูเสร็จก็จ่ายเงินด้วยแล้วกัน

ทีนี้มาดูเรื่องการเหยียดคนอีสานของคน “ไทย” ส่วนหนึ่ง

แน่นอนว่ามาจากการเรียกประวัติศาสตร์ไทยแบบเอากรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลาง เป็นเมืองหลวง และประวัติศาสตร์ฉบับราชการที่ใครๆ ก็รู้ว่าผิดทั้งเพ

ผิดตั้งแต่อพยพมาจากเทือกเขาอัลไตแล้ว

ผิดตั้งแต่คิดว่าประเทศไทยถือกำเนิดมายาวนานหลายร้อยปี

เรียกว่าผิดไปทุกจุด

เมื่อผิดไปทุกจุด เราคนไทยจึงไม่เคยรู้จักกันตามข้อเท็จจริงแต่รู้จักกันผ่านภาพจำหรือภาพเหมารวม

อย่าว่าแต่เราจะไม่รู้จักคนอีสาน คนเชียงใหม่อย่างฉันก็ไม่รู้จักคนปัตตานี ยะลา มีแต่ภาพจินตนาการ มายาคติที่รับรู้ผ่านสื่อ ผ่านวาทกรรมโจรใต้เสียด้วยซ้ำ

คนปัตตานี ยะลา นราธิวาสก็ไม่รู้จักว่าคนเชียงราย คนแม่สายเป็นอย่างไร มารู้ตัวอีกที อ้าว ทั้งเชียงใหม่ เชียงราย เป็นดินแดนของพี่น้องมุสลิมด้วยเหมือนกัน และมีชาวมุสลิมเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ของชุมชน/สังคมมาโดยตลอดอย่างยาวนาน

และฉันเคยไปถ่ายรายการอาหารที่เชียงใหม่กับน้องทีมงานคนใต้ เธอก็ตกใจว่า “อ้าว เชียงใหม่มีปาปาแซเหมือนที่ปัตตานีเลยพี่”

ความเป็นอีสานก็เช่น เป็นภาพจำและภาพเหมารวมที่ส่งผ่านความเป็นไปของประวัติศาสตร์การเมืองร่วมสมัย ทั้งความเป็นอีสานที่เป็นคอมมิวนิสต์ ความเป็นอีสานที่เป็นแกว เป็นญวน อันมีนัยของการเป้นศัตรูกับสถาบันหลักของชาติ

ความเป็นอีสานที่ได้รับผลกระทบจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจนอาจเรียกได้ว่า ความจนและความแห้งแล้งของภาคอีสานและคนอีสานไม่ได้เกิดโดยธรรมชาติ แต่คือผลผลิตของนโยบายพัฒนาประเทศจากสภาพัฒน์

เมื่อแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติของเราตั้งแต่ปี 2505 สร้างทั้งความแห้งแล้ง ความยากจนให้กับชนบท และดึงทรัพยากรทุกอย่างมากระจุกตัวมั่งคั่งกับกลุ่มอีลีต นายทุน และส่วนกลางคือกรุงเทพฯ ผลก็คือ คนยากจนในชนบท ต้องอพยพย้ายถิ่นมาหางานทำในเมืองหลวง มาเป็นชนชั้นแรงงาน มาทำงานก่อสร้าง มาเป็นคนรับใช้ในบ้าน

และเมื่อคนกรุงที่เป็นคนชั้นกลางมีสาวอีสานเป็น “คนรับใช้” เป็น “คนขับรถ” จุดเริ่มต้นแห่งการเหยียดอย่างโง่ๆ จึงเกิดขึ้น

นช่วงทศวรรษที่ 2520s ลงมานั้น สิ่งที่พ่อ-แม่ชาวกรุงล้อกันอย่างขำๆ คือ การทิ้งลูกไว้กับพี่เลี้ยงชาวอีสาน แล้วลูกๆ ของพวกเขาพากันพูดภาษาอีสานและจกข้าวเหนียวกันอย่างคล่องแคล้ว “ว้ายๆ ตายแล้ว ระวังนะ ลูกจะพูดภาษาลาวของพี่เลี้ยง เดี๋ยวจ้องจับมาเอดดูเขตกันใหม่”

จนมาถึงวันนี้ที่ชนชั้นกลางวอนนาบีต้องไปจ้างพี่เลี้ยงชาวฟิลิปปนส์ เพราะอยากให้ลูกตัวเองพูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่ว

แต่คนอีสานไม่ได้หยุดอยู่เพียงการมาใช้แรงงานในกรุงเทพฯ พวกเขาไปซาอุฯ ไปในหลายประเทศที่ตะวันออกกลาง ไปไต้หวัน ญี่ปุ่น สิงคโปร์

และจากสถิติจะพบว่าชาวอีสานคือพลเมืองไทยที่มีพาสปอร์ตในสัดส่วนที่สูงกว่าคนภาคอื่นๆ

เป็นที่ชัดเจนว่าในบรรดาคนทุกภาคของประเทศไทย คนอีสานมีสัดส่วนของประชากรที่ได้ออกไปเห็นโลกกว้างมากกว่าคนภาคอื่นๆ

และมีสัดส่วนของคนที่ออกไปใช้ชีวิตในต่างประเทศสูงกว่าคนภาคอื่นๆ ด้วย

ในบริบทของการเมืองระบอบประชาธิปไตย คนอีสานที่มีประชากรมากที่สุดจึงเป็นเสียงที่ทรงพลังอย่างยิ่งในสนามการเลือกตั้ง

เรียกได้ว่า พรรคการเมืองใดที่ชนะใจคนอีสานก็ย่อมมีโอกาสชนะการเลือกตั้งระดับประเทศ มีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลสูง

ในห้วงเวลาสั้นๆ ที่ประเทศไทยมีประชาธิปไตยเต็มใบ เราจึงเห็นโอกาสของการพัฒนาภาคอีสานอย่างเห็นได้ชัด สะท้อนผ่านความน้อยเนื้อต่ำใจของคนภาคใต้ว่า “เพราะพรรคการเมืองที่เราเลือกได้แต่เป็นฝ่ายค้านวันยังค่ำ ภาคใต้จึงถูกละเลย ไม่มีงบฯ ลงมา”

ในห้วงสั้นๆ ที่เรามีประชาธิปไตยและการปกครองส่วนท้องถิ่นเข้มแข็ง ภาคอีสานนั้นเจริญรุ่งเรืองมาก และใครที่ได้ในกลายๆ จังหวัดของภาคอีสานจะเห็นภาพนี้ชัด ถนนของจังหวัดอุดรธานีนั้นมีความ “อินเตอร์” มากในความรู้สึกของฉัน

หลายๆ จังหวัดในภาคอีสานฉายความเป็น “สากล” ผ่านสินค้าโอท็อป งานคราฟต์ ร้านอาหาร ร้านกาแฟ สถานที่ท่องเที่ยว

ในขณะที่จิตวิญญาณแบบอีสานนั้นยังคงครึกครื้นผ่านเพลงหมอลำ หมอลำซิ่ง เพลงพิณ จากนกน้อย อุไรพร ตั๊กแตน ชลดา มาจนถึงรัศมี อีสานโซล

ในแง่มุมทางดนตรีร่วมสมัยแล้ว ไม่มีดนตรีในภูมิภาคไหนของประเทศไทยจะอินเตอร์ และทรงพลังเท่าพลวัตที่เกิดขึ้นดนตรีของชาวอีสานร่วมสมัยเลย

ดังนั้น คนในห้องคลับเฮาส์ที่มานั่งด่า เหยียดคนอีสาน จึงเป็นความน่าขำมากกว่าน่าเสียใจ

เพราะคนที่น่าสงสาร โลกแคบ “บ้านนอก” ที่สุด คือบรรดาคนเหล่านั้นที่นึกว่าจักรวาลกำหลังหมุนรอบกะลาเล็กๆ ของตนเอง

คนจำพวกนี้เองที่เราเรียกว่า provincial เป็นพวกบ้านนอก ไม่รู้โลก อาจจะเคยเดินทางไปต่างประเทศ แต่ไม่เคยรู้ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม เป็นมนุษย์ ฉาบฉวย น่าขัน โง่ แต่นึกว่าฉลาด จนแต่คิดว่าตัวเองรวย ไร้การศึกษาแต่นึกว่าตัวเองมีการศึกษา ไปปรากฏที่ไหนก็กลายเป็นตัวตลก แต่ก็ไม่เคยมีความรู้รอบพอจะสำเหนียกได้ว่าตัวเองคือตัวตลก

และสิ่งที่คนเหล่านี้ไม่เคยรู้เนื้อรู้ตัวเลยคือ ประเทศไทยนั้นในสายตาชาวโลกก็น่าขัน น่าสมเพช เวทนา น่าดูถูกเหยียดหยามกันทั้งทั้งประเทศนั่นแหละ

ในฐานะที่เป็นประเทศยากจน ล้าหลัง

ประเทศที่อุดมไปด้วยสายไฟที่พันเกี่ยวกันอย่างน่าสยดสยอง

ประเทศที่อุดมไปด้วยสลิ่มต่อต้านการปกครองระบอบประชาธิปไตย

ประเทศที่บางมหาวิทยาลัยมีพิธีกรรมหามเสลี่ยง

ประเทศที่มีการรัฐประหารมากครั้งไม่แพ้ใครในโลก

ประเทศที่คนภูมิใจในความทาส แต่ไม่รู้ว่าการเป็นทาสนั้นน่าละอาย และเที่ยวโชว์ความเป็นทาสว่านี่คือความเป็นไทย โดยหวังว่า ทั่วโลกจะทึ่ง จะอึ้ง จะชื่นชม

ไม่ใช่ความเป็นอีสานหรอกที่จะถูกเหยียด ความเป็นสลิ่มต่างหากที่ทำให้ประเทศไทยจะถูกเหยียดจากคนทั้งโลก