หนังสือเรียนสำหรับเด็ก (๙๙.๓)บทความพิเศษ ฟ้า พูลวรลักษณ์

บทความพิเศษ

ฟ้า พูลวรลักษณ์

 

หนังสือเรียนสำหรับเด็ก (๙๙.๓)

 

การเมืองไทยตอนนี้มีเรื่องแปลกอย่างหนึ่ง ในความเห็นของฉันคือ การที่คุณสุดารันต์ เกยุราพันธุ์ ลาออกจากพรรคเพื่อไทย มาตั้งพรรคไทยสร้างไทยของตัวเอง มันทำให้เธอดูดีขึ้นทันที ดูเป็นผู้ใหญ่ มีจุดยืน น่านับถือ

แต่ที่แปลกยิ่งกว่า คือทำให้พรรคเพื่อไทยดูดีขึ้นด้วย ยิ่งการที่มีอุ๊งอิ๊งขึ้นมาเป็นประธานที่ปรึกษา มีแนวโน้มจะเป็นแคนดิเดตนายกฯ คนต่อไป ภาพของเพื่อไทยก็ชัดเจนขึ้นด้วย

แสดงว่าที่ผ่านมา คุณสุดารัตน์โดนพรรคเพื่อไทยบังไว้ และในทางกลับกัน คุณสุดารัตน์ก็ไปบังพรรคเพื่อไทย

พรรคก้าวไกลก็มีความชัดเจนอยู่แล้ว เรียกว่ามีแฟนเฉพาะของพวกเขา ส่วนพรรคเสรีพิสุทธิ์ถึงจะเล็ก แต่ก็ชัดเจน

พรรคต่อไปนี้ไม่มีความชัดเจน

พรรคพลังประชารัฐ

พรรคภูมิใจไทย

พรรคประชาธิปัตย์

พรรคกล้า

พวกเขาล้วนคลุมเครือ เพราะไม่กล้าพูดในสิ่งที่จะทำ หรือกำลังกระทำอยู่ ไม่มีพรรคไหนกล้าตั้งชื่อตัวเอง ว่าพรรคคลุมเครือ ทั้งที่ต้องการจะคลุมเครือ ไม่มีพรรคไหนตั้งชื่อตัวเองว่าพรรคสองหัว ทั้งที่อยากมีสองหัว

และยิ่งพรรคกล้า จะกล้าตั้งชื่อตัวเองว่าพรรคกล้า แต่ฉันไม่เห็นความกล้าหาญอันใด พยายามจะเบ่งกล้าม แต่กล้ามไม่มี

พรรคพลังประชารัฐ ดูจะเป็นพรรคที่ตั้งชื่อได้ใกล้เคียง เพราะพวกเขายึดในหลักประชานิยมอย่างสุดโต่ง เรียกว่าเป็นพรรคที่พร้อมจะซื้อเสียงประชาชนด้วยนโยบายประชานิยม ทำแบบตรงๆ ไม่ได้อาย พรรคนี้จะรุ่งหรือร่วง ขึ้นกับคนไทย ว่าชอบนโยบายประชานิยมมากน้อยเพียงไร

 

ทุกพรรคกำลังจัด Platform สำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อไป มีการเลือกข้าง ดีกว่าการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว คงเพราะประสบการณ์ที่ผ่านมาสี่ปี ได้ทำให้ทุกอย่างกระจ่างขึ้น ว่าใครเป็นใคร แต่ละคนมีความตื้นลึกหนาบางอย่างไร

ทุกพรรคดูจะมีความมั่นใจว่าจะชนะ บางพรรคมีความเชื่อมั่นว่าจะชนะแบบแลนด์สไลด์อีกต่างหาก ไม่ใช่ชนะธรรมดา แต่ในการเลือกตั้ง ทุกพรรคจะชนะ เป็นไปไม่ได้ แล้วผู้แพ้คือใคร ในการเลือกตั้งครั้งใหม่นี้ จะต้องมีผู้แพ้และผู้ชนะ อยากรู้เหมือนกันว่าใครที่หลอกตัวเอง ใครที่อ่านเกมขาด

แต่ Issue ของการเลือกตั้งครั้งหน้า กลับมาที่ ม.112 ซึ่งฉันไม่อยากให้เป็นเช่นนี้เลย เพราะมันเสี่ยง แต่ทว่ารถไฟได้ออกจากชานชาลาแล้ว Momentum ได้เกิดแล้ว ไม่สามารถจะเปลี่ยนได้อีก บัดนี้ทุกพรรคต้องตอบว่ามีท่าทีอย่างไรต่อ ม.112 จะเลือกอยู่ข้างยกเลิกหรือแก้ไข หรืออยู่ข้างไม่แตะหรือห้ามแตะ

การเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ม.112 ไม่ใช่ Issue แม้แต่พรรคอนาคตใหม่เองก็ยังคลุมเครือในจุดนี้ หลายพรรคจะไม่แสดงจุดยืน แต่คราวนี้ทุกพรรคออกมาบอกจุดยืนชัดเจน เหมือนทุ่งกุรุเกษตรได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ว่าคือที่นี่ ใครจะชนะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง และแม้ว่าผู้ต้องการยกเลิกหรือแก้ไข ม.112 จะพ่ายแพ้ แต่บัดนี้ Issue นี้ได้ออกมาแล้ว และจะไม่กลับไปอีก เท่ากับว่ายังมีการต่อสู้ครั้งต่อไปอยู่ดี

มันกลายเป็น Issue เพราะฝ่ายที่ต้องการยกเลิกหรือแก้ไข ม.112 ได้ลงทุนไปเยอะแล้ว มีหลายชีวิตต้องติดคุก ต้องโดนเนรเทศ หรือต้องบาดเจ็บล้มตาย

ทุกชีวิตที่ล้มลงนี้ คือการเพิ่มทุนใน Issue นี้ บัดนี้มันไปไกลแล้ว ความเจ็บแค้น ความเสียหายมีแต่เพิ่มทวีขึ้นทุกวันเวลา

 

ทีจริง ม.112 ไม่จำเป็นต้องเป็น Issue เลย หากว่ามันถูกใช้น้อยครั้ง เช่น ในสิบปี ใช้เพียงครั้งสองครั้งเท่านั้น ด้วยเพราะมันเป็นกฎหมายที่มีบทลงโทษหนัก หากใช้บ่อย ก็ควรมีโทษเบา เช่น จำคุกหนึ่งปี คิดจริงๆ หากใครคนหนึ่งมาออกความเห็น แล้วโดนจับเข้าคุกหนึ่งปี ก็ถือว่าหนักมากแล้ว แต่การโดนจำคุก ๑๕ ปี มันเหมือนการประหารชีวิต

ยกตัวอย่าง น้องรุ้ง ปีนี้เธออายุ ๒๓ ปี หากเธอโดนจับข้อหา ม.112 ด้วยเพราะพูดผิด หรือคิดผิดก็ช่าง ติดคุกหนึ่งปี ก็นานพอควรแล้ว ตอนปล่อยออกมาจากคุก เธอจะอายุ ๒๔ ปี มีโอกาสแก้ตัวใหม่ หากเธอไม่เปลี่ยน ยังกร้าวเหมือนเดิม เธอก็โดนจับซ้ำได้ โดนขังคุกอีกหนึ่งปี อย่างน้อยเธอมีทางเลือก แต่หากปีนี้เธอทำผิด แล้วโดนขังคุก ๑๕ ปี วันที่เธอออกจากคุก เธอจะอายุ ๓๘ ปี เหมือนโดนประหารชีวิต

๑๐

ปัญหาคือโทษหนักด้วย และใช้พร่ำเพรื่ออีกต่างหาก นี้เองที่ทำให้มันกลายเป็น Issue

๑๑

ผู้ต้องการล้มเลิกหรือแก้ไข ม.112 ไม่ได้ต้องการล้มสถาบันกษัตริย์ หากแต่ผู้ที่กำลังจะล้มสถาบันกษัตริย์ กลับเป็นผู้ไม่แตะหรือห้ามแตะ

ทำไมมันย้อนแย้งกันอย่างนี้ นี้เป็นหนึ่งปริศนาของโลก ที่ฉันแปลกใจยิ่งนัก

๑๒

พรรคการเมืองที่อยู่ฝ่ายไม่แตะหรือห้ามแตะ ม.112 เวลาไปเดินหาเสียง เจอชาวบ้านที่ออกมากำชับว่า อย่ายอมให้กฎหมายการแก้ไขหรือล้มเลิก ม.112 ผ่านเด็ดขาด เสียงคร่ำครวญด้วยความรักและความเป็นห่วงดังระงม ทำให้พรรคการเมืองเหล่านั้นเกิดกำลังใจ ยิ่งมุมานะที่จะขัดขวางให้ถึงที่สุด และทำลายไปพร้อมกัน

นี้คือปริศนาที่ย้อนแย้ง นี่เป็นวิบากกรรมชนิดใดกัน พันธุ์ไหน ทำไมจึงดุอย่างนี้

 

๑๓

ขุนศึกของฝ่ายที่ไม่แตะหรือห้ามแตะ ก็คือคนหน้าเดิม ด้วยใบหน้าที่โหดเหี้ยม และความคิดที่แข็งกร้าว แม้คำพูดของเขาทุกคำ คือการปกป้องสถาบัน แต่มันเป็นการปกป้องแบบมากเกินไป เหมือนน้ำหลากมา หากแต่เขากลับไปสร้างทำนบเขื่อนกั้นน้ำ ปิดกั้นทางน้ำไหล ยิ่งไปสะสมปริมาณน้ำให้มากขึ้น จนวันหนึ่งทำนบพัง เขื่อนแตก ทันใดนั้นเอง เกิดน้ำท่วมใหญ่ที่รุนแรงกว่าเดิม

ที่จริงเมื่อฝนตกหนัก น้ำหลาก ก็ควรปล่อยให้น้ำไหลผ่านไป ค่อยๆ ลดปริมาณน้ำ ไม่เกิดการสะสมน้ำ แบบนี้ ต่อให้มีน้ำท่วม ก็จะยังแค่เล็กน้อย

๑๔

ขุนศึกของฝ่ายขอให้ยกเลิกหรือแก้ไข เช่น น้องมายด์ เด็กหญิงคนนี้มีความคิดที่องอาจ สง่างาม ยอมรับความเปลี่ยนแปลง ที่แปลกคือ คนอย่างน้องมายด์และฝ่ายตรงข้าม จะคุยกันได้หรือ

พวกเขาแตกต่างกันเป็นสองโลก

 

๑๕

สงครามกุรุเกษตรได้เริ่มขึ้นแล้ว และกองทัพทั้งสองฝ่ายได้จัดทัพ แต่ที่ประหลาดคือ ฝ่ายที่ไม่ได้ล้มล้างสถาบัน กลับอยู่ฝ่ายต้องการล้มล้างหรือแก้ไข ม.112 ส่วนฝ่ายที่ล้มสถาบัน กลับอยู่ฝ่ายไม่ยอมให้แตะ หรือห้ามแตะ ม.112 มันเหมือนเข้าแถวผิด จัดแถวผิด แต่ไม่ใช่เลย มันเป็นเช่นนี้ ไม่มีใครเข้าใจผิด มันตรงข้ามกัน สมมาตรกันพอดี ธรรมชาติสร้างมาอย่างนี้

๑๖

สงครามมหากาพย์ภารตะ โหดร้ายยิ่งนัก ด้วยเพราะมันเป็นสงครามที่ศิษย์ล้างครู หลานฆ่าปู่ พี่น้องฆ่ากันเอง เรียกว่าการทำลายล้างที่ดุร้ายชนิดใดๆ ที่มีได้ในโลกนี้ ล้วนมีหมด โดยมีคนที่เป็นกลางเพียงสองคนเท่านั้น น่าประหลาดมาก ทำไมมีคนเป็นกลางเพียงแค่สองคน คนหนึ่งคือพลราม พี่ชายของพระกฤษณะ อีกคนหนึ่งฉันจำชื่อไม่ได้ รู้แต่ว่าไม่มีใครเอาเขา ด้วยเพราะเขามีนิสัยที่ไว้ใจไม่ได้ ชั่วร้ายเกินไป ดังนั้น คนกลางด้วยใจภักดิ์ จึงมีเพียงคนเดียวเท่านั้น ฉันถามตัวเองอยู่เสมอว่า ทำไมคนเป็นกลางจึงน้อยนัก

๑๗

มหากาพย์ภารตะ คือน้ำท่วมโลก คนที่เข้าสงครามล้วนตายหมด เหลือรอดเพียงแค่หยิบมือเดียว และผู้อยู่รอด คือผู้จมอยู่ในความทรงจำที่โหดร้าย

๑๘

หากจะยับยั้ง ควรจับบรรดาเหล่าขุนศึกของฝ่ายที่ไม่แตะหรือห้ามแตะ หรือใครก็ตามที่เสียงดังสุด ด้วย ม.112 ข้อหาล้มล้างสถาบันแอบแฝง เพราะน้ำกำลังจะท่วม พวกเขากลับไปสร้างเขื่อนกั้นน้ำ มีเจตนาจะล้มล้างสถาบันแบบแอบแฝง ทันใดนั้นเอง พวกเขาจะเข้าใจว่า กฎหมายนี้หนักเกินไป ใช้บ่อยเกินไป และครอบจักรวาลเกินไป

พวกเขาจะเข้าใจด้วยตัวเอง ว่าทำไมจึงควรมีการยกเลิกหรือแก้ไข ซึ่งก็เป็นเรื่องเรียบง่าย