ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 12 - 18 พฤศจิกายน 2564 |
---|---|
เผยแพร่ |
บทความพิเศษ
จักรกฤษณ์ สิริริน
ก่อนจะไป ‘ชาร์จไร้สาย’
ช่วยทำ ‘หัวเสียบแบบเดียว’ ก่อนได้ไหม?
แน่นอนว่า ความต้องการ “ปลั๊กไฟ” ชนิด “หัวเสียบแบบเดียว” ย่อมต้องเป็นสุดยอดปรารถนาของนักเดินทางทั่วทุกมุมโลก
เพราะแต่ละประเทศมีมาตรฐานการใช้ไฟฟ้าที่ไม่เหมือนกัน ทั้งเรื่องระบบไฟ โครงสร้างพื้นฐาน กำลังไฟ มาตรการความปลอดภัย ไปจนถึงรูปแบบการใช้งาน
ทำให้นักเดินทางต้องศึกษาเรียนรู้ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการเดินทาง
ด้วยความที่โลกใบนี้มี “ปลั๊กไฟ” มากถึง “14 แบบ” เป็นอย่างน้อย เรียงไล่ไปตั้งแต่ Type A ไปจนถึง Type N แตกต่างกันไปตามภูมิภาค และความสะดวกในการใช้งาน
ความแตกต่างของ “ชนิดปลั๊กไฟ” แม้จะสร้างความยุ่งยากให้กับนักเดินทาง ทว่า สำหรับคนภายในประเทศนั้นๆ จะรู้สึกปลอดภัย ไปจนถึงเคยชิน และไม่รู้สึกถึงความแตกต่างในที่สุด
นอกจากนักเดินทางแล้ว ต้องยอมรับว่า บริษัทผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า ต่างก็ต้องปวดหัวกับโลกของ “ปลั๊กไฟ 14 แบบ” ที่ต้องผลิตให้ถูกต้องตรงกับความต้องการของลูกค้า
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความแตกต่างของ “ปลั๊กไฟ” ได้ก่อให้เกิดสินค้าใหม่ขึ้นมาตัวหนึ่ง ซึ่งก็คือ “หัวแปลงปลั๊กไฟนานาชาติ” ที่ถูกสร้างขึ้นมาสำหรับนักเดินทางข้ามพรมแดน
เช่นเดียวกับ “ปลั๊กไฟ 14 แบบ” ปัญหาของผู้ใช้โทรศัพท์มือถือบนโลกใบนี้ก็มีประเด็นที่น่าขบคิดเช่นเดียวกัน
นั่นคือ เหตุใดโทรศัพท์มือถือต่างยี่ห้อกัน จึงไม่ทำความตกลง และหาข้อสรุปร่วมกัน ในเรื่องการออกแบบ “หัวชาร์จ” โทรศัพท์มือถือให้เป็นรูปแบบเดียวกัน?
ยิ่งถ้าเรานำปัญหา “แบบของหัวชาร์จ” ที่ก็มีหลากหลาย น้องๆ “ชนิดปลั๊กไฟ” ไปรวมกับประเด็น “ปลั๊กไฟ 14 แบบ” ความชุลมุนวุ่นวายก็จะยิ่งทวีคูณ!
กล่าวคือ สมมุติ “หัวชาร์จ” โทรศัพท์มือถือยี่ห้อ A มี “หัวปลั๊ก” สำหรับเสียบได้ในประเทศไทย
แต่ถ้า “หัวชาร์จ” หาย หรือลืมเอาติดตัวมา ก็ไม่สามารถยืมคนอื่นที่ใช้โทรศัพท์มือถือยี่ห้ออื่นมาชาร์จได้เลย
ยิ่งหากเจ้าของโทรศัพท์มือถือมีความจำเป็นต้องเดินทางไปยุโรป หัวปลั๊กอันเดิมจะเสียบไม่ได้ ต้องซื้อหัวแปลง เสียตังค์เพิ่มอีก
อย่างไรก็ดี แม้ว่าในปัจจุบัน ปัญหา “ปลั๊กไฟ 14 แบบ” จะยังไม่ได้รับการแก้ไข ทว่า ประเด็น “หัวชาร์จ” กำลังจะได้รับการขจัดปัดเป่า
เมื่อ EU หรือ “สหภาพยุโรป” ได้ประกาศเตรียมบังคับผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือที่จะวางขายในยุโรปในอนาคตอันใกล้นี้ ต้องตกลงกันให้ได้ว่าจะใช้รูปแบบ “หัวชาร์จ” แบบไหนเป็นหลัก
เพราะ EU จะประกาศบังคับให้โทรศัพท์มือถือทุกยี่ห้อ ต้องใช้ “หัวชาร์จ” แบบเดียวกันทั้งหมดในเร็ววันนี้!
สำนักข่าว AP ระบุว่า คณะกรรมาธิการยุโรป (ฝ่ายบริหารระดับสูงของ EU) ได้เสนอร่างกฎหมาย บังคับให้ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือทุกยี่ห้อที่จะวางจำหน่ายในยุโรป ปรับเปลี่ยน “หัวชาร์จ” ให้เป็นแบบ USB-C เพียงชนิดเดียว
ด้วยเหตุผลที่ว่า ทุกวันนี้ ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือทุกเจ้า ต่างก็ใช้เทคโนโลยีดังกล่าวนี้อยู่แล้ว
ซึ่งคาดกันว่า หากนโยบายนี้ประสบความสำเร็จ จะช่วยประชากรยุโรป ประหยัดเงินได้ถึงปีละ 300 ล้านดอลลาร์
เพราะสถิติผู้ใช้โทรศัพท์มือถือใน EU บ่งชี้ว่า โดยปกติแล้ว ประชากรยุโรปโดยเฉลี่ย จะมี “สายชาร์จ” และ “หัวชาร์จ” ในครอบครองอย่างน้อยคนละ 3 ชุด
แต่จะใช้งานจริงๆ เป็นประจำเพียง 2 ชุดเท่านั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 38% ของประชากรยุโรประบุถึงปัญหาที่ว่า ในแต่ละวันพวกเขาไม่สามารถชาร์จมือถือได้อย่างน้อย 1 ครั้ง เพราะหา “สายชาร์จ” และ “หัวชาร์จ” ไม่เจอ!
และในภาพรวม แต่ละปี ยอดการจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ หรือ Tablet PC ใน EU มีมากถึงกว่า 420 ล้านเครื่อง
AP ชี้ว่า นอกจากจะบังคับให้ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือ หันมาใช้ “หัวชาร์จแบบเดียวกัน” แล้ว
EU ยังระบุให้มีการจัดทำมาตรฐาน “เทคโนโลยีการชาร์จแบบรวดเร็ว” ขึ้นมาใหม่อีกด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคที่จะ “ซื้อโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่” มีสิทธิ์เลือกว่าจะรับ “หัวชาร์จ” ด้วยหรือไม่!
สำนักข่าว AP รายงานต่อไปว่า จากการที่ EU ได้บังคับให้ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือทุกยี่ห้อที่วางขายใน EU ต้องใช้ “หัวชาร์จ” แบบเดียวกัน
เพื่อช่วยแก้ปัญหาความสับสนในกลุ่มผู้ใช้งานที่มีอุปกรณ์ต่างแบรนด์อยู่ในมือ
อย่างไรก็ดี หลังจากที่ได้มีการเปิดเผยร่างกฎหมายดังกล่าว Apple ได้แสดงความกังวลทันทีว่า เงื่อนไขใหม่นี้จะกลายมาเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนานวัตกรรม และเป็นผลเสียต่อผู้บริโภค
ทั้งๆ ที่ iPhone รุ่นใหม่ของ Apple จะมี “สายชาร์จ” ที่สามารถใช้งานกับ “หัวชาร์จ” แบบ Lightning ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของ iPhone และก็สามารถเสียบเข้ากับช่อง USB-C ได้แล้วก็ตาม
และทั้งๆ ที่ Apple เอง เพิ่งได้ประกาศที่จะ “ไม่แถมหัวชาร์จ” ให้กับ iPhone 12 Series รวมถึง iPhone รุ่นอื่นๆ อีกต่อไป
ด้วยเหตุผลด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นความตั้งใจดั้งเดิมของ Apple เองที่ต้องการลด Carbon Footprint ในอุตสาหกรรมโทรศัพท์มือถือมาอย่างยาวนาน
ซึ่งนอกจาก Apple แล้ว เมื่อเร็วๆ นี้ ก็เคยมีข่าวทำนองว่า Samsung อีกหนึ่งแบรนด์ยักษ์ใหญ่ของโลก อาจจะ “วางจำหน่ายแบบไม่มีหัวชาร์จ”
แปลไทยเป็นไทยก็คือ ต่อไปนี้ Samsung อาจจะไม่แถม “หัวชาร์จ” มาให้กับโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ในอนาคตอีกต่อไป
นี่อาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า ต่อไป “หัวชาร์จ” อาจไม่ใช่อุปกรณ์มาตรฐานที่โทรศัพท์มือถือยี่ห้อต่างๆ จะต้องแถมมาให้ในกล่องอีกต่อไป
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะพฤติกรรมการใช้งานของผู้บริโภค และสภาพแวดล้อมในชีวิตประจำวันของเจ้าของโทรศัพท์มือถือที่เปลี่ยนแปลงไปนั่นเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทุกวันนี้ ยามเมื่อเราต้องออกไปทำธุระนอกบ้าน ก็จะพบว่า สถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร, สนามบิน และแม้กระทั่งบนเครื่องบิน, รถทัวร์, หรือจุดบริการตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ
จะมีพื้นที่ให้บริการ “จุดชาร์จแบตเตอรี่” แบบ USB
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ค่ายรถยนต์ และจักรยานยนต์ ต่างก็เติม “จุดชาร์จแบตเตอรี่” แบบ USB ประจำรถยนต์ และรถมอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่ๆ มาให้เป็นอุปกรณ์หลักประจำรถไปแล้ว
ทำให้เราไม่ต้องไปหาซื้ออุปกรณ์เสริมมาเพิ่มเติมในรถเพื่อ “ชาร์จมือถือ” เหมือนในอดีต
ประเด็นดังกล่าวที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้เราสามารถ “ชาร์จแบตมือถือ” ได้ทุกที่ทุกเวลา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่เปลี่ยนไป เห็นได้จากหลายต่อหลายคนเลือกที่จะไม่พก “หัวชาร์จ” แต่เลือกที่จะพก “แบตสำรอง” ติดตัวยามเมื่อออกไปนอกบ้าน
เหตุผลก็คือ “แบตสำรอง” ในปัจจุบันมีพัฒนาการมาก อาทิ “ความจุที่เยอะขึ้น” ใน “ขนาดที่เล็กลง”
และรองรับระบบ “ชาร์จไร้สาย” หรือระบบการ “ชาร์จเร็ว” เป็นต้น
จึงเป็นเหตุผลให้ Apple และ Samsung เลือกที่จะตัด “หัวชาร์จ” ออกจากอุปกรณ์มาตรฐานของโทรศัพท์มือถือ
อย่างไรก็ตาม สำนักข่าว AP วิเคราะห์ว่า ในตอนแรกมีการคาดการณ์ว่า จะต้องมีเสียงคัดค้านแผนของ EU ที่บังคับให้ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือทุกยี่ห้อต้องใช้ “หัวชาร์จ” แบบเดียวกัน
ทว่า ในความเป็นจริงแล้ว คำประกาศดังกล่าวของ EU กลับได้รับเสียงตอบรับ และคำชื่นชมยินดีจากชาวยุโรปหลายล้านคน ผู้ต้องเผชิญกับปัญหา “หัวชาร์จหลายแบบ”
นอกจากการอำนวยความสะดวกให้ผู้แก่บริโภคแล้ว EU ยังตั้งใจจะใช้นโยบายดังกล่าว ช่วยลดปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ในยุโรปที่มีมากถึง 11,000 ตันต่อปีอีกด้วย!