นิ้ว 5 นิ้วไม่เท่ากัน-แล้วยังไง/ชกคาดเชือก วงค์ ตาวัน

วงค์ ตาวัน

ชกคาดเชือก

วงค์ ตาวัน

 

นิ้ว 5 นิ้วไม่เท่ากัน-แล้วยังไง

 

ในท่ามกลางการปะทะทางความคิดระหว่างคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่าที่หวาดผวาการเปลี่ยนแปลง ซึ่งในช่วงปีสองปีมานี้ เป็นไปอย่างดุเดือดแหลมคม ขยายตัวไปอย่างกว้างขวาง ทำให้เรามักได้ยินความพยายามของฝ่ายคนที่ติดอยู่ในโลกเก่า ในการนำเสนอคำอธิบายทำนองว่า ความเท่าเทียมไม่มีจริง ความเสมอภาคไม่มีจริง อย่าไปดิ้นรนเพื่อการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย

แล้วคำพูดที่ใช้กันบ่อยๆ ซึ่งฟังกี่รอบก็ไม่เข้าใจว่าจะเอามาอธิบายอะไรได้ นั่นคือคำเปรียบเทียบที่ว่า นิ้วคนเรา 5 นิ้วยังไม่เท่ากันเลย แล้วมนุษย์จะเท่าเทียมกันได้อย่างไร!?

อันที่จริงเป็นคำพูดที่ใช้กันมาแต่โบราณ ตั้งแต่สมัยที่โลกอยู่ในช่วงที่แนวคิดคอมมิวนิสต์กำลังแผ่กว้าง หรือในยุคที่เรียกว่าสงครามเย็น ซึ่งโลกแบ่งออกเป็น 2 ค่ายใหญ่ๆ ค่ายตะวันตกที่นำโดยสหรัฐอเมริกา กับค่ายประเทศคอมมิวนิสต์ที่นำโดยสหภาพโซเวียต รวมทั้งประเทศในยุโรปตะวันออก ที่ปกครองด้วยลัทธิคอมมิวนิสต์

ส่วนไทยเราเองมีพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเกิดขึ้นในปี 2485 แล้วเติบโตมีกองกำลังเริ่มต่อสู้ด้วยอาวุธในปี 2508 ขณะที่คอมมิวนิสต์ในประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงกับไทย กำลังแผ่ขยายอิทธิพลอย่างมาก

ในยุคที่รัฐบาลไทยกำลังต่อสู้กับพรรคอมมิวนิสต์ มีการโฆษณาชวนเชื่อ การออกหนังสือเล่ม ทำภาพยนตร์ออกฉาย แต่มาแนวแบบสร้างความหวาดกลัวและเกลียดชังคอมมิวนิสต์ในหมู่ประชาชนคนไทย

สร้างคอมมิวนิสต์เป็นภูตผีปีศาจ เป็นพวกต่างชาติที่จะมาฮุบประเทศไทย บางช่วงก็สร้างข่าวลือประหลาดๆ เช่น ให้ระวังคอมมิวนิสต์จะจับคนขึ้นรถตู้ไปดูดเลือดเพื่อเอาไปรักษาคนในป่าที่ถูกทหารปราบปรามอย่างหนัก โดยไม่สนใจข้อเท็จจริงที่ว่า การนำเลือดเพื่อไปใช้รักษาคนบาดเจ็บอะไรนั้น ต้องมีระบบแช่เย็น มีห้องแล็บอย่างดีเท่านั้น

หรือให้ระวังยาจู๋หด ใส่ไว้ในอาหารต่างๆ เพื่อทำลายเผ่าพันธุ์คนไทย ให้เหล่าชายไทยระวังจู๋หด จู๋ขาด อะไรแบบนี้ก็มี!

ในขณะที่ประเด็นสำคัญคือทฤษฎีของคอมมิวนิสต์นั้น มีหลักการสร้างสังคมที่เสมอภาค ไม่มีชนชั้น ผู้ปกครองบ้านเมืองจะต้องเป็นคนในชนชั้นผู้ใช้แรงงาน

นี่เอง งานโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาล จึงต้องมีคำประเภท นิ้วคนเรา 5 นิ้วยังไม่เท่ากัน แล้วคนจะเท่าเทียมกันได้อย่างไร

เพื่อจะทำให้คนไม่ไปหลงเชื่อว่า จะมีสังคมเสมอภาคตามแนวทางที่คอมมิวนิสต์นำเสนอ

จึงต้องโหมการโฆษณาชวนเชื่อทำลายภาพของคอมมิวนิสต์อย่างหนัก ส่วนหนึ่งด้วยการเอาความสั้นยาวของนิ้วคนมาใช้เปรียบเทียบ

 

ยุคของโลกคอมมิวนิสต์ได้จบสิ้นไปแล้ว พร้อมกับการล่มสลายของสหภาพโซเวียต และการเปลี่ยนแปลงในประเทศยุโรปตะวันออก ที่หันมาเป็นประชาธิปไตย เพราะลัทธิคอมมิวนิสต์ได้มาถึงจุดที่ไปต่อไม่ได้ อาจจะเพราะสุดโต่งมากเกินไป และขัดแย้งกับการยกระดับเศรษฐกิจของประเทศ

ส่วนในไทยเอง สิ้นสุดลงในยุคที่คอมมิวนิสต์ไทยเกิดความสับสนในแนวทาง เนื่องจากโลกคอมมิวนิสต์ขัดแย้งกันหนัก รวมทั้งกองทัพไทยในช่วงปี 2523 ใช้สมองมากกว่าใช้กำลัง จึงเกิดแนวทางการเมืองนำการทหาร และผลักดัน 66/2523 เพื่อเปิดทางให้คนออกจากป่า จนคอมมิวนิสต์ล่มสลาย

วันนี้คอมมิวนิสต์ในโลกยังอยู่แค่ในไม่กี่ประเทศ ถือกันว่าเป็นยุคที่แนวคิดคอมมิวนิสต์ไปต่อไม่ได้อีกแล้ว

แต่หลายสังคม โดยเฉพาะในไทยเราเอง ปัญหาการเมืองที่ยังไม่เป็นประชาธิปไตยแท้จริง ไม่เป็นประชาธิปไตยเสรีจริง เศรษฐกิจยังมีการผูกขาดเอารัดเอาเปรียบ ความป็นอยู่ของผู้คนยังมากด้วยความเหลื่อมล้ำ

ทำให้คนยังต้องลุกขึ้นมาต่อสู้ โดยเป็นไปตามธรรมชาติของทุกสังคม นั่นคือ นักศึกษาปัญญาชนคนรุ่นใหม่ จะลุกขึ้นมาเรียกร้องและจุดประกายการต่อสู้ของประชาชน

ในยุคปัจจุบันสังคมที่นักต่อสู้ทั่วโลกรวมทั้งในไทยเราเองใฝ่ฝัน ก็คือ สังคมประชาธิปไตยที่แท้จริง

ไม่ใช่ประชาธิปไตยครึ่งกลางๆ อย่างประเทศเรา ที่มีกองทัพ มีเครือข่ายอำนาจนอกระบบ พร้อมจะแทรกแซง พร้อมจะล้มกระดาน พร้อมจะรัฐประหาร

ในการต่อสู้เพื่อสังคมประชาธิปไตยจริงๆ จึงต้องพูดกันถึงหลักการที่ประชาชนส่วนใหญ่มีสิทธิเสรีภาพในทางการเมือง มีส่วนร่วมในทางการเมือง เมื่อมีการเลือกตั้ง ผลการตัดสินใจของประชาชนจะต้องได้รับความเคารพ รัฐบาลบริหารประเทศไป โดยมีสภาเป็นผู้ตรวจสอบ ทุกอย่างเปิดกว้างให้ประชาชนได้รับรู้

ถ้ารัฐบาลบริหารไม่ได้ ก็ต้องไปตามวิถีประชาธิปไตย ต้องลาออกเพื่อให้สภาเลือกรัฐบาลใหม่ หรือยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินชะตากรรมบ้านเมืองกันใหม่

ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยจริง เปลี่ยนแปลงตามวิถีนี้ ไม่มีทหารออกมารัฐประหาร เพราะเมื่อรัฐประหารทีไร ทหารหรือตัวแทนอำนาจนอกระบบ ก็จะเข้ามาปกครองแทน ใช้เผด็จการบริหารประเทศ ทำให้อำนาจการเมืองแทนที่จะอยู่ในมือประชาชนส่วนใหญ่ กลับมาอยู่ในมือคนกลุ่มเดียว บ้านเมืองถดถอยล้าหลัง เศรษฐกิจทรุดต่ำ

นักต่อสู้ในบ้านเรา จึงเรียกร้องให้เกิดประชาธิปไตยที่อำนาจการเมืองเป็นของประชาชนจริงๆ คนส่วนใหญ่มีความเท่าเทียมเสมอภาคกัน ทั้งทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ

ดังคำกล่าวที่ว่า ระบบการเลือกตั้ง ทำให้คนไทยทุกคน ไม่ว่าจะเศรษฐี เจ้าสัว นายธนาคาร นายทหารใหญ่ กับชาวบ้านทุกระดับ ยากดีมีจน ล้วนมีความเท่าเทียมกัน

มี 1 สิทธิ์ 1 เสียงเท่ากัน อันเป็นส่วนหนึ่งของความเท่าเทียมกันในวิถีประชาธิปไตย!

 

ความเท่าเทียมของโลกยุคนี้คือ ประชาธิปไตย คนมีสิทธิ์มีเสียงเท่ากัน หรือมีสิทธิ์จะเรียกร้องความเป็นธรรมในปัญหาต่างๆ ชุมนุมประท้วงได้ ไม่โดนปราบโหด ปราบด้วยกระสุนจริง โดยไม่ใช่ความเท่าเทียมแบบคอมมิวนิสต์ สังคมไม่มีชนชั้น ระบบการผลิตเป็นคอมมูน อะไรแบบนั้น

แต่ฝ่ายหัวโบราณล้าหลัง ก็ยังตอบโต้แนวคิดเรียกร้องประชาธิปไตยเสรี ทุกคนมีสิทธิ์มีเสียงทางการเมืองเท่าเทียมกัน ด้วยการใช้สูตรโบราณๆ ประเภท นิ้ว 5 นิ้วยังไม่เท่ากัน คนเราจะเท่าเทียมกันได้อย่างไร

ไปจนถึงป่าวร้องว่า ความเสมอภาคเท่าเทียมกันไม่มีอยู่จริง

เป็นการดิ้นรนปกป้องระบบล้าหลังของคนบางพวก ดังมีคำเปรียบเทียบกับคนเหล่านี้ว่า ก็คือ ทาสที่ปล่อยไม่ไป!!

ประชาธิปไตยต่างกับคอมมิวนิสต์หลายอย่าง มีความเป็นเสรีนิยม สังคมย่อมมีทั้งคนรวยคนจน เศรษฐกิจเป็นทุนนิยม แต่ประชาชนส่วนใหญ่ มีความเสมอภาคในทางการเมือง มี 1 สิทธิ์ 1 เสียงเท่ากันในวันเดินเข้าคูหา แล้วได้รัฐบาลตามผลการเลือกตั้งจริงๆ ไม่ใช่มี 250 ส.ว.รอกำหนดนายกฯ โดยไม่ต้องดูผลการเลือกตั้ง

เมื่อทำการเมืองให้มีความเสมอภาคเท่าเทียมกันได้ เสียงของคนส่วนใหญ่ได้รับความเคารพจริง เมื่อการเมืองดี รัฐบาลมาจากประชาชนจริงๆ ก็ไปสร้างเศรษฐกิจที่ลดความเหลื่อมล้ำ มีระบบสวัสดิการดูแลประชาชนให้รอบด้าน

สังคมเช่นนี้ มีจริงในหลายประเทศ ไม่ใช่เรื่องเลื่อนลอย

นิ้ว 5 นิ้วของคนเราจะไม่เท่ากันก็ตาม เป็นคนละเรื่องกับสังคมประชาธิปไตย ที่ทุกคนมีสิทธิเสียงเท่าเทียมกัน

นิ้วจะสั้นจะยาว ไม่ใช่ข้ออ้างที่เป็นเหตุเป็นผล เพื่อไม่ให้ประเทศนี้เกิดประชาธิปไตยจริงๆ แต่อย่างใด!!