ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 5 - 11 พฤศจิกายน 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศ |
เผยแพร่ |
บทความต่างประเทศ
การประชุม COP 26
โลกร่วมมือยืดเวลาวันสิ้นโลก
ปัจจุบันโลกประสบปัญหามากมาย แต่หนึ่งในนั้นมีปัญหาใหญ่ที่เร่งด่วนและเป็นเรื่องที่ทั่วโลกเห็นพ้องต้องกันว่าจะต้องช่วยกันเพื่อแก้ปัญหาที่อาจนำไปสู่การล่มสลายของมนุษยชาติ ปัญหาที่ว่าก็คือ “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” หรือ “ไคลเมจเชนจ์”
จึงเกิดเป็นการประชุมที่ผู้นำโลกมารวมตัวกันเพื่อหาวิธีการยืดเวลาวิกฤตที่อาจนำไปสู่ “วันสิ้นโลก” นั่นก็คือ “คอป 26” (COP 26) ซึ่งได้เริ่มต้นไปแล้วที่เมืองกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์ ตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคมที่ผ่านมา และจะดำเนินไปจนถึงวันที่ 12 พฤศจิกายนนี้ หลังจากการประชุมต้องเลื่อนมาจากปีก่อนเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19
จุดเริ่มต้นของการประชุมดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อนานาชาติร่วมลงนามในภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ยูเอ็นเอฟซีซีจี) ในปี 1982 นับเป็นครั้งแรกที่โลกเริ่มหาแนวทางความร่วมมือเพื่อแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ
และเป็นครั้งแรกที่โลกยอมรับว่าจำเป็นจะต้องควบคุมการปล่อย “ก๊าซเรือนกระจก” ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหา “ไคลเมจเชนจ์” ตามมา
ยูเอ็นเอฟซีซีจี มีการพัฒนารายละเอียดมาโดยตลอด รวมไปถึงการร่วมลงนามใน “ข้อตกลงปารีส” เมื่อปี 2015 ซึ่งมีการตั้งเป้าหมายในการจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงขึ้นไปกว่า 2 องศาเซลเซียส เหนืออุณหภูมิเฉลี่ยของโลกก่อนหน้าการปฏิรูปอุตสาหกรรม
และถ้าจะให้ดีต้องคุมให้ไม่สูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส เพื่อหลีกเลี่ยงหายนะจากไคลเมจเชนจ์
สําหรับการประชุม “คอป 26” เป็นชื่อการประชุมที่ย่อมาจาก 26th Conference of Parties to the UNFCCC หรือการประชุมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในยูเอ็นเอฟซีซีจี ครั้งที่ 26 นั่นเอง
“ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง” ประกอบไปด้วย 196 ประเทศที่ร่วมให้สัตยาบันในอนุสัญญา และจะเข้าร่วมประชุมคอป 26 ในปีนี้ซึ่งมีสหราชอาณาจักรและอิตาลีร่วมกันเป็นเจ้าภาพ
การประชุมในปีนี้สำคัญอย่างยิ่งเนื่องจากเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา รายงานด้านสภาพอากาศจากทีมงานนักวิทยาศาสตร์นานาชาติของยูเอ็น หรือไอพีซีซี เพิ่งจะรายงานถึงผลกระทบจากไคลเมจเชนจ์ไว้อย่างชัดเจนมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยระบุว่า “กิจกรรมของมนุษย์ส่งผลให้โลกร้อนขึ้นอย่างชัดเจน” และ “ปัญหาไคลเมจเชนจ์นั้นแพร่กระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็วและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ”
ไอพีซีซีอธิบายเพิ่มเติมด้วยว่า ไคลเมจเชนจ์จะทำให้เกิดอากาศแปรปรวนรุนแรง น้ำท่วม คลื่นความร้อน ภาวะภัยแล้ง เกิดการสูญพันธุ์ น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ระดับน้ำทะเลขึ้นสูงด้วย ขณะที่นายอันโตนิโอ กูร์แตเรส เลขาธิการใหญ่ยูเอ็นถึงกับระบุว่า รายงานของไอพีซีซีเป็น “สัญญาณเตือนระดับสีแดง” สำหรับมนุษยชาติ
ยิ่งกว่านั้น ไอพีซีซียังระบุด้วยว่า ก๊าซเรือนกระจกในเวลานี้ที่อยู่ในชั้นบรรยากาศมีอยู่มากพอ และนานพอที่จะทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นเรื่อยๆ อีกอย่างน้อย 50 ปี แม้ว่าโลกร่วมมือกันทำได้ตามเป้าหมายสูงสุดที่ตั้งไว้ก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความหวังเล็กๆ โดยไอพีซีซีระบุว่า หากนานาชาติสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็น “ศูนย์” ภายในปี 2050 จะทำให้ครึ่งหลังของศตวรรษนี้โลกมีอุณหภูมิกลับมาอยู่ในระดับต่ำกว่า 1.5 องศาเซลเซียสได้อีกครั้ง
แต่หากไม่ทำอะไรเลยโลกจะไปสู่อุณหภูมิที่สูงขึ้นถึง 2.7 องศาเซลเซียส ซึ่งอาจนำไปสู่หายนะที่คาดเดาไม่ได้เลยทีเดียว
สิ่งที่จะเกิดขึ้นในคอป 26 วันแรกก็คือ บรรดาผู้นำประเทศราว 120 ประเทศ “ให้คำมั่นทางการเมือง” ที่เป็นแนวทางเพื่อชะลอไคลเมจเชนจ์
หลังจากผู้นำประเทศเดินทางกลับ จะเป็นหน้าที่ของตัวแทนแต่ละประเทศที่ส่วนใหญ่จะเป็นรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อม จะร่วมหารือ ร่วมกิจกรรมแลกเปลี่ยนแนวคิดเพื่อประกาศจุดยืน ให้คำมั่นและเข้าร่วมกับแนวคิดริเริ่มใหม่ๆ
การประชุมคอป 26 จะสิ้นสุดลงด้วย “ถ้อยแถลง” ที่ทุกๆ ชาติเห็นพ้องต้องกันซึ่งอาจเป็นเรื่องที่น่าพอใจ หรืออาจน่าผิดหวัง
ตัวอย่างมีให้เห็นแล้วในการประชุมคอป 25 ซึ่งนายกูร์แตเรส เลขาธิการใหญ่ยูเอ็น ออกมาแสดงความผิดหวังกับผลการประชุม ซึ่งนั่นอาจเกิดขึ้นอีกครั้งในการประชุมครั้งนี้ก็เป็นได้
ตามข้อตกลงปารีส ทุกๆ ประเทศจะต้องรายงานแผนการระดับชาติเพื่อแก้ปัญหาไคลเมจเชนจ์ทุกๆ 5 ปี เช่นเดียวกับในคอป 26 นี้ด้วย โดยเป้าหมายดังกล่าวในปีนี้หลายประเทศคาดหมายว่าจะตั้งเป้าหมายที่ท้าทายยิ่งขึ้นไปจนถึงปี 2030 โดยเป้าหมายเหล่านี้เรียกรวมๆ ว่า “เอ็นดีซีส์”
ตามข้อตกลงปารีส ทุกๆ ประเทศจะต้องรายงานเอ็นดีซีส์ รวมถึงเปิดทางให้แต่ละประเทศประกาศวิธีที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงก็ได้
หนึ่งในเป้าหมายหลักของคอป 26 ในครั้งนี้นอกเหนือไปจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็น “ศูนย์” ในปี 2050 แล้ว ยังมีเป้าหมายเรื่องการเพิ่มงบประมาณด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อให้ประเทศ “กำลังพัฒนา” กลุ่มประเทศที่ประชากรต้องรับกรรมจากไคลเมจเชนจ์มากที่สุดทั้งๆ ที่มีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยที่สุด ให้สามารถ เปลี่ยนผ่านไปใช้พลังงานสะอาดและปรับตัวอยู่กับไคลเมจเชนจ์ได้
นอกเหนือจากนั้นแล้วยังมีเป้าหมายอื่นๆ ด้วย เช่น การ “เลิกใช้ถ่านหิน” การกำหนดกลไกและกฎเกณฑ์ของ “ตลาดคาร์บอนระหว่างประเทศ” ที่คุยกันมาหลายปีก็ยังไม่ได้ข้อสรุปเสียที
สำหรับท่าทีของประเทศผู้ก่อให้เกิดไคลเมจเชนจ์มากที่สุดนั้นดูจะไม่ได้ทำให้มีความหวังมากนัก ไม่ว่าจะเป็นจีนผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในโลกที่เพิ่งรายงานเอ็นดีซีส์ไปเมื่อเดือนตุลาคม มีแผนเปลี่ยนไปเล็กน้อยเท่านั้น ด้านรัสเซียและออสเตรเลีย สองประเทศผู้ผลิตพลังงานจากฟอสซิลรายใหญ่ของโลกเองก็มีทีท่าว่าจะไม่ต้องการปรับเป้าหมายให้ท้าทายยิ่งขึ้น
เช่นเดียวกับซาอุดีอาระบีย ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลกที่แม้จะตั้งเป้าให้สูงขึ้น แต่ก็ยังยืนยันจะผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติต่อไป ส่วนอินเดีย ประเทศที่บริโภค ผลิต และนำเข้าถ่านหินอันดับ 2 ของโลก ก็ยังไม่ได้ให้คำมั่นสัญญาใดๆ ในเวลานี้
จากนี้คงต้องรอดูว่า คอป 26 จะมีผลการหารืออกมาเป็นเช่นไร นานาชาติจะรวมมือกันตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง ยืดเวลาหายนะที่อาจนำไปสู่ “วันสิ้นโลก” ได้มากน้อยแค่ไหน คงต้องติดตาม