คำ ผกา | ไหนที่เรียกว่าคน?

คำ ผกา

ฉันถึงกับต้องเอามือกุมขมับเมื่ออ่านข้อห้าม ข้อบังคับ ข้ออนุญาตต่างๆ ที่หน่วยงานของรัฐบาลและราชการออกมาเพื่อรองรับการเปิดประเทศเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

และอันที่จริงเราทุกคนสมควรต้องกุมขมับกับวิธีคิดของราชการแบบไทยไทยที่เป็น “ไทย” มากขึ้นไปอีกภายใต้รัฐบาลอำนาจนิยม

รัฐไทยนั้นต่อให้ไม่ได้เป็นรัฐบาลเผด็จการที่มาจากการรัฐประหารก็มีแนวโน้มจะเป็นรัฐบาล “คุณพ่อรู้ดี” อยู่แล้วด้วยวัฒนธรรมการก่อรูปก่อร่างของมัน และคนไทยโดยเฉพาะคนในเจนเบบี้บูมเมอร์ ลงมาถึงเจน x อย่างฉันก็มีแนวโน้มชอบ เชื่อ เสือก และชอบทำตัวเป็นคุณพ่อคุณแม่รู้ดีใส่เพื่อนร่วมชาติ

อีกทั้งยังมีสันดานชอบอยู่ภายใต้บงการของรัฐคุณพ่อรู้ดีจนกลายเป็นไอโอจิตอาสาของรัฐบาลอย่างแข็งขัน

พูดอีกอย่างได้ว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยมีสันดานเป็นอย่างที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า teacher’s pet มีจริตเป็นเด็กหน้าห้อง เชื่อฟัง ว่าง่าย ขยันเรียน ทำตัวเป็นผู้ช่วยครู คอยสอดส่องพฤติกรรมเพื่อนไปฟ้องครู

โตขึ้นก็กลายเป็นคนจำพวกเด็กดีของรัฐ ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ อดทน เชื่อฟัง ทำตาม ให้ความร่วมมือ

แล้วก็รู้สึกว่าหงุดหงิดเพื่อนร่วมชาติ ทำไมเกเร ทำไมดื่มเหล้า ทำไมไม่ไปวัด ทำไมไม่มีศาสนา ทำไมชังชาติ ทำไมเถียงผู้ใหญ่ ทำไมไม่หามเสลี่ยงงานบอล ทำไมไม่ใส่หน้ากาก ฯลฯ

ศบค. ซึ่งเราคนไทยคนฉงนกันให้มากนับตั้งแต่ตั้งขึ้นมาว่ามีไปทำไม?

เราบ่นกันเรื่องระบบราชการอันเทอะทะ ยืดยาด อืดอาด เต็มไปด้วยขั้นตอน ลำดับชั้นการบังคับบัญชา

และ ศบค.ก็ทำให้ทุกอย่างเทอะทะ ยืดยาดมากขึ้นด้วยการเอาระบบราชการมาซ้อนทับระบบราชการอีกที

อะไรที่ควรประชุมรอบเดียวกลายเป็นประชุมสองรอบ

อะไรที่ควรจบที่ ครม. แล้วสั่งการไปยังคนรับผิดชอบ กลายเป็นการประชุม ศบค.ชุดเล็ก ประชุม ศบค.ชุดใหญ่ เข้า ครม. ออกจาก ครม. ไป ศบค.จังหวัด ไป กทม. ใน กทม. หรือในแต่ละจังหวัดก็ยังมีหน่วยงานย่อยๆ ที่ต้องเอาไปเข้าที่ประชุมอีก

และหากติดวันหยุดราชการ หรือเสาร์-อาทิตย์ ก็ต้องรออีก

ศบค.นี้ยังต้องทำงานร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงอย่าง กอ.รมน.อีก

และดูเหมือนว่าฝ่ายความมั่นคงนี้จะมีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจหลายๆ เรื่องเกี่ยวกับสถานการณ์โรคระบาด และมีบทบาทมากยิ่งขึ้นไปอีกในการบริหารสถานการณ์โควิดในสามจังหวัดภาคใต้

เพียงแค่นี้ก็เพียงพอจะทำให้เราแทบจะต้องยกสองเท้ามากุมขมับแทนมือแล้ว

ยัง ยังไม่พอ ศบค.นั้นได้มีกองโฆษกออกมาแถลงข่าว รายงานความคืบหน้า ความเคลื่อนไหว อะไรต่อมิอะไรทุกวัน ซึ่งเราคนไทยก็ควรจะขมวดคิ้วนะว่าทำไมต้องแถลงทุกวัน

หรือเรายังเคยชินกับวัฒนธรรมเสียงตามสาย-ทุกเช้า ผู้ใหญ่บ้านต้องมาอ่าโหลๆ และแจ้งข่าวมโนสาเร่แก่ลูกบ้าน

แต่ในการบริหาราชการระดับประเทศในศตวรรษที่ 21 นี้ สิ่งที่ชาวโลกเขาทำกัน และประชาชนคนไทยได้เรียกร้องต่อรัฐบาลและราชการมาหนึ่งชาติเต็มคือเรื่อง open data ข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานของทุกหน่วยงานรัฐต้องได้รับการบรรจุไว้ในเว็บไซต์ของทุกกระทรวง

ซึ่งหากเราทำสิ่งเหล่านี้เสียตั้งแต่สิบปีที่แล้ว ป่านนี้เราจะมีคลังข้อมูลทุกอย่างเพื่อให้ทุกคนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ฝ่ายราชการ หรือฝ่ายการเมืองก็สามารถเรียกข้อมูล ประมวลข้อมูล อดีต ปัจจุบัน วางแผนสำหรับอนาคต ดูข้อผิดพลาด ล้มเหลว อุดรูรั่ว

พูดง่ายๆ ว่า ถ้าเราทำระบบฐานข้อมูลที่เปิดเผย โปร่งใส รัฐบาลก็ทำงานง่ายขึ้น ภาคประชาชนก็ตรวจสอบการทำงานทุกอย่างได้

สิ่งที่ตามมาคือความเชื่อมั่น เพราะความเชื่อมั่นของประชาชนต่อหน่วยงานราชการไม่ได้เกิดจากความเพอร์เฟ็กต์ ทำงานไม่พลาด หรือไม่มีการคอร์รัปชั่นเลย แต่เกิดจากความมั่นใจว่า หากมีความผิดพลาด หรือ การทุจริต เราจะรู้และแก้ไขได้ทันที

การทุจริตจะไม่ใช่เครื่องมือในการทำลายศัตรูทางการเมืองให้ประชาชนคลางแคลงใจเรื่องสองมาตรฐาน

ไอ้ที่บ่นกันเรื่อง “ความแตกแยกของคนในชาติ” มันก็จะได้รับการบรรเทา คลี่คลายไปโดยปริยาย

ถามว่ารัฐบาลไทย ราชการไทยทำสิ่งเหล่านี้ไหม?

คำตอบคือไม่ทำ

ถามว่าทำไมถึงไม่ทำ

คำตอบง่ายๆ คือ กลัวประชาชนรู้ทัน แล้วฝ่ายรัฐและฝ่ายราชการจะไม่สามารถบริหารอำนาจยีหัวประชาชนเล่นอีกไม่ได้

สองปีภายใต้สถานการณ์และในศตวรรษที่ 21 เราไม่ควรต้องมานั่งฟังแถลงอะไรอะไรจากโฆษก ศบค. บลา บลา บลา ทุกวันเหมือนงานเสียงตามสายในหมู่บ้านชนบท แต่ข้อมูล รายงาน ตัวเลข กราฟ อินโฟกราฟิกต่างๆ มันควรอยู่ในเว็บไซต์ และมีหน้าแรกที่อัพเดตข้อมูลรายวันหรือรายชั่วโมงก็ยังได้ ให้ประชาชนคลิกเข้าไปดูได้ทุกเมื่อ

สำนักข่าว นักข่าว ก็แค่เข้าไปติดตามการอัพเดตนั้นก็สามารถนำมารายงานข่าวในส่วนที่ตนเห็นว่าจำเป็นและสำคัญ

หรือถ้าถนัดและหลงใหลในการทำแอพพลิเคชั่นมาก ก็ทำไมไม่ทำเป็นแอพพ์ที่เอาไปอัพเดตข่าวสาร ข้อมูล เกี่ยวกับโควิด-19 จากภาครัฐไปเลย จะมาเรียงคิวแถลงกันทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษกันรายวันไปทำไม?

มากไปกว่านั้น แต่ละครั้งของการแถลงก็ไม่ได้ทำให้เราได้ข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์สักเท่าไหร่ แต่ที่ได้มากที่สุดคือส่วนของการสั่งสอนเทศนาประชาชน ต้องมีความรับผิดชอบ ต้องเชื่อฟัง ต้องให้ความร่วมมือ การ์ดอย่าตก

แถลงไปสอนไป เทศนาไปให้สำนึกไปว่าข้าราชการได้ทำงานหนักเหลือเกิน ได้พยายามเหลือเกิน ได้ทำทุกอย่างอย่างดีที่สุดแล้ว

เหลือแต่ประชาชนต้องทำตัวดีๆ อย่ากินเหล้า อย่าไปเที่ยว อย่าเพิ่มภาระ อย่าเชื่อข่าวปลอม เหนื่อยมากเลยต้องมาแก้ไขความเข้าใจผิด เฮ้อ เดี๋ยวต้องไปตามจับอีพวกสื่อที่ชอบออกข่าวให้คนตื่นตระหนก บลา บลา บลา

ลามไปถึงเถียงนาโมเดล ฉายคลิปให้ดูว่า ดูซิ คนที่เป็นเด็กดีเขาต้องทำแบบนี้นะ น่ารักจังเลย เอ้า ทุกคนดูไว้เป็นแบบอย่างแล้วทำตามนะคะ

สองปีแล้วที่เราคนไทยเจ้าของประเทศเจ้าของเงินภาษีทุกบาททุกสตางค์ที่จ่ายเป็นเงินเดือนให้ข้าราชการแล้วมีข้าราชการจำพวกหนึ่งรับเงินเดือนจากเงินของเราไปเพื่อจะไปทำตัวมาเป็นคุณพ่อคุณแม่รู้ดีชี้นิ้วสั่งสอนเรา ตำหนิเราเหมือนเป็นเด็กอมมือ ไม่รู้สี่รู้แปด ซื่อบื้อโง่เง่า ดื้อด้าน พูดไม่ฟังอะไรทำนองนั้น

อันที่จริงการรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 โดยตรรกะสิ่งที่รัฐควรทำคือ

1. จำกัดวงของการระบาด นั่นคือ ปิดเมืองบางส่วน ปิดเมืองชั่วคราว ออกแบบระบบการตรวจ การกักตัวในทุกช่องทางการเดินทาง (ซึ่งไม่ได้แปลว่าปิดประเทศ) อำนวยความสะดวกในการตรวจโควิดให้มนุษย์ทุกคนไม่ต้องสนใจเชื้อชาติ สัญชาติ วีซ่า ใบอนุญาตทำงาน จากนั้น สร้างระบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกสบาย ปลอดภัยแต่ผู้กักตัว, ผู้ติดเชื้อไม่แสดงอาการ และผู้ติดเชื้อที่ป่วย ทั้งหมดนี้ให้เกิดขึ้นบนค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด

2. ประเมินความเสียหายของประชาชน เจ้าของธุรกิจ แล้วเคาะออกมาเป็นตัวเลขว่าใครควรได้รับเงินชดเชยจากมาตรการป้องกันการระบาดโควิดจากรัฐ หรือถ้าคิดว่าค่าใช้จ่ายในการทำประเมินอย่างละเอียดมันสูงไป ก็ทำออกมาในรูปของ การประกันรายได้ขั้นต่ำประชาชนถ้วนหน้าแบบชั่วคราว เช่น จ่ายเช็คให้ประชาชนทุกคน เดือนละสองพันบาท เป็นเวลา 2 ปีเต็ม แล้วไม่ต้องมีมาตรการอื่นๆ มาให้รุงรังอีก ส่วนผู้ประกอบการให้ช่วยในรูปแบบของซอฟต์โลนปลอดดอกเบี้ย ปลอดการชำระเงินต้นห้าปีเต็ม – ทั้งหมดนี้ ไม่ต้องกลัวว่าประชาชนจะรวย หรือสุขสบายเกินไป เพราะคำถามคือ ประชาชนสุขสบายแล้วมันไม่ดีตรงไหนวะ?

3. ทำทุกวิถีทางให้ได้มาซึ่งวัคซีนที่ดีที่สุดในปริมาณมากที่สุดและเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ และเข้าร่วม COVAX

4. เมื่อชุดตรวจโควิดด้วยตนเองราคาถูกลงแล้ว รัฐต้องแจกอีชุดบ้านี่ให้ประชาชนฟรี ส่งถึงบ้าน โดยห้ามมีความคิดว่า เดี๋ยวประชาชนที่ทั้งโง่ทั้งโลภของเราจะเอาไปทิ้ง เอาไปขาย เอาไปให้ลูกเล่นขายของ เอาไปแคะฟัน – ห้ามคิด – มึงมีหน้าที่แจกสิ่งนี้บนฐานคิดว่าเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการคัดกรองเบื้องต้นโดยหวังผลลดการแพร่ระบาด จบตรงนั้น

5. ยาต้านไวรัส หามาให้พอ มีไว้ให้เยอะ อย่าหวง จะหวงไว้ยัดปากตัวเองในโลงตอนตายหรือไง เอาไปให้คนป่วย ถ้าเขาจะโง่กินทีละยี่สิบเม็ดไม่เชื่อหมอก็แปลว่าคนผู้นั้นอยากฆ่าตัวตาย ก็ต้องเคารพในเจตจำนงเขาแล้วมั้ง

ถามว่าทุกประเทศบนโลกใบนี้รับมือกับโควิดได้แบบไร้ที่ติดเลยไหม?

คำตอบคือ “ไม่”

แต่มันต้องเริ่มจากการที่รัฐบาลของทุกประเทศพยายามทำบนตรรกะห้าข้อที่ฉันกล่าวมา บางประเทศทำได้ บางประเทศทำแล้ว ประชาชนยังวี้ดๆ ใส่ก็ต้องยุบสภา ลาออก เลือกตั้งใหม่อย่างญี่ปุ่น

ทว่า ไม่มีประเทศไหนทำอะไรมั่วๆ ซั่วๆ ชนิดที่คิดหาลอจิค ตรรกะอะไรมารองรับไม่ได้เลยเฉกเช่นประเทศไทย ที่ไปไกลถึงขั้นมีวัคซีนใช้ไม่รู้กี่สูตร ไขว้จนไขว้เขว และน่าจะมีแต่ประเทศไทยที่ประชาชนดิ้นรนจองวัคซีนเอง จ่ายเงินเองล่วงหน้ามาเป็นปีอย่างที่ไม่มีประเทศไหนเขาทำกัน เพราะประเทศอื่นมีแต่จะกราบกราน อ้อนวอนให้ประชาชนไปฉีด รอเป็นปีไม่พอ วัคซีนที่ทยอยมายังถูกจัดโควต้าตามอัธยาศัย ชนิดที่คนจ่ายเงินได้แต่ทำตาปริบๆ กันเท่านั้น

อเนจอนาจอนิจจาจริงๆ

เอ๊า วันดีคืนดี ถังแตกก็ต้องเปิดประเทศ ดันทุรังเปิดทั้งๆ ที่หลายจังหวัดโดยเฉพาะจังหวัดท่องเที่ยวตัวเลขแดงโร่ แต่ไม่เปิดก็ไม่ได้ เดี๋ยวจะหาว่าตู่ล้มเหลว จังหวัดแดงๆ ก็พลันกลายเป็นสีฟ้าโดยแสร้งว่า “พื้นที่นำร่อง” ว่าซั่น

เปิดประเทศก็จำใจต้อยกเลิกเคอร์ฟิว แต่ พ.ร.ก.ฉุกเฉินยังอยู่

แล้วไอ้ที่ห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ต้องเหลือติ่งไว้ว่าต้องได้มาตรฐาน SHA ซึ่งไอ้มาตรฐานที่ว่านี้ ททท.เป็นคนนิมิตให้

แล้วดื่มได้แค่สามทุ่ม สามทุ่มหนึ่งนาทีช่วยเปลี่ยนเป็นน้ำปาณะทันทีเลยนะ หรือไม่ก็ต้องกรอกเข้าปากให้หมด กรอกไม่หมดก็เททิ้ง

ซึ่งถ้าพวกมึงไม่ทำตามนี้ รถม้าแสนสวยจะกลายเป็นฟักทอง นางซินจะกลายเป็นคนรับใช้ เหมือนเดิมว่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ชีวิตสูเจ้านั้นอยู่ในกำมือข้าว่ะ ฮ่า ฮ่า

จะเอาแบบนี้ใช่ไหม ชีวิตคนไทยเรา เป็นประชาชนเสียภาษีทุกวี่ทุกวัน

แต่มีชีวิตเหมือนนกเหมือนหนูให้ผู้มีอำนาจขู่ๆ ปลอบๆ หยอกล้อล่อลวงเหมือนตัว “โง่”

และนี่แหละ soft power ของเผด็จการไทย ปกครองอย่างไรให้คนกลายเป็นสัตว์เลี้ยง เชื่องต่ออำนาจ รักในการกระดิกหางประจบ

รู้ตัวอีกที ไม่ใช่แค่เขาที่งอก หางก็ยาวลากพื้น