พระสงฆ์กับการเมือง การเมืองในวงการพระสงฆ์/บทความพิเศษ

บทความพิเศษ

อภิเชต ผัดวงค์

 

พระสงฆ์กับการเมือง

การเมืองในวงการพระสงฆ์

 

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแถลงต่อสื่อมวลชน ณ ทำเนียบรัฐบาลถึงข้อสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ตรวจสอบกรณีมีคณะพระสงฆ์เข้าไปกราบไหว้และรับฟังคำสั่งสอนจากอดีตพระยันตระหรือนายวินัย ละอองสุวรรณ

ข้อสั่งการของผู้นำรัฐบาลย่อมสะเทือนถึงสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติและคณะสงฆ์ผู้ปกครอง แม้การกราบไหว้จะเป็นปัจเจกวิสัย เป็นความเคารพนับถือส่วนบุคคล แต่เป็นจริยาที่แปลก ไม่คุ้นกับสังคมไทย นอกจากจะดูข้อห้ามด้านพระวินัยแล้ว ก็มิพึงเพิกเฉยต่อการสร้างศรัทธา และภาพลักษณ์

ยิ่งอดีตพระยันตระนำคณะพระสงฆ์และแม่ชีออกกำลังกาย ถูกสื่อประโคมก็ยิ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์

นอกจากกรณีนี้แล้ว ในอดีตคดีพระพิมลธรรม การตั้งอธิกรณ์ครูบาศรีวิชัย ครูบาขาวปีแห่งล้านนา คดีอดีตพระนิกร คดีภาวนาพุทโธ คดีสันติอโศก และคดีเงินทอนวัดที่พระสงฆ์ฝ่ายปกครองถูกจับสึก ถูกดำเนินคดีติดคุก บางรูปต้องหนีไปพำนักอยู่ต่างประเทศ

ล่าสุดมติถอดถอนและแต่งตั้งเจ้าคณะจังหวัด 3 จังหวัด เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่สะท้อนบทบาทการปกครองคณะสงฆ์

 

พระณรงค์ สังขวิจิตร ได้เสนอไว้ใน “ปัญหาการปกครองคณะสงฆ์ไทยในปัจจุบัน : ปัญหาและแนวทางแก้ไข” ดังนี้

“คณะสงฆ์ประสบปัญหาโครงสร้างการปกครอง ปัญหาประสิทธิภาพในการปกครอง ปัญหาเกณฑ์การแต่งตั้งพระสงฆ์ที่จะได้รับสมณศักดิ์”

“…ในการแก้ไขปัญหาโครงสร้างทางการปกครอง มีแนวทางแยกรัฐออกจากศาสนา กับการปรับปรุงโครงการสร้างการปกครองคณะสงฆ์ใหม่ ส่วนการแก้ไขการขาดประสิทธิภาพทางการปกครอง… คือแก้ไขหลักเกณฑ์ของพระที่จะได้รับสมณศักดิ์ โดยแยกสมณศักดิ์ออกจากตำแหน่งการปกครอง”

กิจการหัวใจหลักในการบริหารกิจการคณะสงฆ์ประกอบด้วยงาน 6 ด้าน คือ ด้านการปกครอง ด้านการศาสนศึกษา ด้านการศึกษาสงเคราะห์ ด้านการเผยแผ่ ด้านสาธารณูปโภค และด้านสาธารณสงเคราะห์ ในที่นี้จะขอกล่าวเฉพาะด้านการปกครอง

การปกครองคณะสงฆ์ต้องเป็นไปตามหลักพระธรรมวินัย กฎหมาย ระเบียบ มติมหาเถรสมาคม พระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช หรือคำสั่งของผู้บังคับบัญชาเหนือตน การระงับอธิกรณ์ การวินิจฉัย การลงนิคหกรรม การแต่งตั้งถอดถอนเจ้าคณะพระสังฆาธิการ และการอุทธรณ์ต่างๆ ต้องเป็นไปตามลำดับ นอกจากจะมีกฎหมายกำหนดเอาไว้เป็นการเฉพาะ เพื่อความมั่นคงแห่งพระพุทธศาสนา

ปัญหาคณะสงฆ์ที่ปรากฏตามสื่อ เริ่มมีคำถามในวงสนทนาที่จะต้อง “ปฏิรูปวงการสงฆ์” กระหึ่มขึ้นอีกครั้ง

ตัวแทนของพระพุทธเจ้าคือพระธรรมวินัย พระธรรมวินัยคือบทบัญญัติคำสอนของพระพุทธเจ้าซึ่งบรรจุไว้ในพระไตรปิฎก พระสงฆ์เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า เป็นหนึ่งในพุทธบริษัท 4

ตั้งแต่สมัยพุทธกาลมาได้มีการสังคายนาพระไตรปิฎกมาแล้วหลายครั้ง การสังคายนาครั้งที่แรกกระทำหลังจากพระพุทธเจ้าดับขันธปรินิพพานเพียง 3 เดือน ณ ถ้ำสัตตบรรณคูหา ประเทศอินเดีย

ในประเทศไทยก็เคยทำการสังคายนาพระไตรปิฎก

การสังคายนาพระไตรปิฎกเป็นมหากุศล แล้วถ้าปฏิรูปวงการคณะสงฆ์จะบาปไหม หรือจะเกิดประโยชน์อันใด…?

 

ในยุคการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการ ควรบริหารการเปลี่ยนแปลง สนองงานคณะสงฆ์มุ่งเน้นเป้าหมายให้เกิดระบบการจัดการที่ทันสมัย

เมื่อได้ถวายการสนับสนุนให้ศาสนบุคคลหรือองค์กรปกครองคณะสงฆ์ปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ การบริหารงานเสมอภาค โปร่งใส ประชาชนย่อมเกิดศรัทธา ผู้คนเข้าถึงคำสอนนำไปสู่การปฏิบัติจูงใจในการทำในสิ่งที่ดีย่อมผลักดันให้พระพุทธศาสนาคงอยู่สืบไป

การบริหารการเปลี่ยนแปลงที่จะทำให้การปกครองคณะสงฆ์ขับเคลื่อนสร้างความศรัทธาและมีประสิทธิภาพ ควรปฏิรูปการเปลี่ยนแปลงอย่างน้อย 5 ด้าน ประกอบด้วย ด้านการวางแผน ด้านการจัดองค์กร ด้านการบริหารงานบุคคล ด้านงานอำนวยการ และด้านการกำกับดูแล

ที่ผ่านมาเรามักได้ยินคำว่าปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา โดยแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (ฉบับที่ 12) พ.ศ.2560-2564 กำหนดแผนการปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนาประกอบไปด้วย 4 ยุทธศาสตร์ 10 กลยุทธ์ 14 แผนงาน

นี่ก็จะสิ้นปี 2564 ควรที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจักได้เปิดเผยข้อมูลให้ได้เห็นว่าทิศทางการปฏิรูปได้ขับเคลื่อนพระพุทธศาสนาก่อให้ศรัทธาและความมั่นคงยิ่งขึ้นเช่นใด

การจะปฏิรูปกิจการพระศาสนาหรือการปกครองคณะสงฆ์เพื่อสร้างความมั่นคง ดำรงศีลธรรม เกิดความเป็นธรรมในหมู่สงฆ์ นำสังคมสันติสุขอย่างยั่งยืนนั้น ต้องอาศัย “คน” ที่ต้องมีความรู้ ความสามารถ มีความเมตตา เข้าใจในหลักพระศาสนามุ่งหวังให้ประชาชนในชาติได้รับประโยชน์จากการปฏิรูป

การปฏิรูปต้องยึดธรรมเป็นหลัก และต้องถามคณะสงฆ์ว่าทิศทางควรเป็นอย่างไร มิใช่เอาคนกิเลสหนาไปกำหนดทิศทางให้ผู้มีกิเลสเบาบางต้องถือปฏิบัติเพียงฝ่ายเดียว

การปฏิรูปต้องเกิดบนฐานพรหมวิหารธรรม 4 มุ่งความดีงามในหมู่สงฆ์ ขณะเดียวกันหากมีการประพฤติผิดพระวินัยก็ต้องตัดสินตามแนวบัญญัติอย่างตรงไปตรงมา พัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างกันของฝ่ายการเมืองหรือประชาชนกับคณะสงฆ์

หากความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายเหินห่างกัน หรือยิ่งหากพฤติกรรมของพระสงฆ์จะเป็นอย่างไร ฝ่ายกำกับดูแล หรือประชาชนไม่ใส่ใจ ไม่สนใจ ไม่แสดงความเป็นห่วง ไม่วิพากษ์วิจารณ์ด้วยความปรารถนาดี อันนี้ยิ่งจะทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ จะทำให้วิกฤตในวงการคณะสงฆ์เป็นไปในทางที่ไม่พึงประสงค์

บทบาทพระสงฆ์ก็จะยิ่งไม่สนองตอบต่อปัญหาในสังคมที่เกิดขึ้น

 

ขณะเดียวกันหากฝ่ายบ้านเมืองที่จะปฏิรูปคณะสงฆ์ หากคิดแต่เพียงจะนำกฎหมายไปจัดการโดยไม่คำนึงถึงการจะนำพระธรรมวินัยเป็นหลักนำไปพิจารณา หรือไม่ใช้หลักการทางศาสนาเข้าไปจัดการ การกระทำลักษณะนี้นอกจากจะเป็นลบหลู่ต่อคำสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ยังเท่ากับไปซ้ำเติมไม่ก่อผลดีทั้งต่อฝ่ายการเมืองและคณะสงฆ์

มหาเถรสมาคมเป็นองค์กรปกครองสูงสุดของคณะสงฆ์ ประกอบด้วยพระเถระมีอายุพรรษา แต่ละรูปเป็นที่เคารพศรัทธา ผ่านประสบการณ์ปกครองหลายระดับ

ขณะเดียวกันพระสงฆ์สามเณรทั่วประเทศ 300,000 กว่ารูป อยู่ในมือการปกครองของกรรมการมหาเถรสมาคม 20 รูป กรรมการชุดปัจจุบันเพิ่งครบวาระการดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 14 ตุลาคมที่ผ่านมา การปกครองคณะสงฆ์ระดับจังหวัดก็อยู่ที่เจ้าคณะจังหวัดเพียงรูปเดียว ในระดับอำเภอ ระดับตำบล และระดับเจ้าอาวาสก็เช่นเดียวกัน

มหาเถรสมาคมเปรียบเหมือนคณะรัฐมนตรี การบริหารงานของคณะรัฐมนตรีขึ้นตรงและถูกตรวจสอบโดยสมาชิกรัฐสภา จากองค์กรอิสระ อาทิ ป.ป.ช. ปปง. สตง. ป.ป.ท. แล้วมหาเถรสมาคมควรขึ้นตรงและถูกตรวจสสอบโดยหน่วยงานใด

เมื่อเห็นความสำคัญเช่นนี้ ควรที่พุทธศาสนิกชนจะร่วมปฏิรูปการปกครองคณะสงฆ์ โดยยึดหลักพรหมวิหารธรรม ร่วมใจถวายแนวทางให้ท่านได้บริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพตามคติที่ว่า “ปกครองอย่างเมตตา กรุณาอย่างมีเหตุผล ยินดีกับทุกศาสนิกชน ปฏิรูปคนให้วางใจเป็นกลาง”

กระบวนการขับเคลื่อนพระพุทธศาสนาโดยใช้หลักธรรมทางศาสนา ให้ชาวพุทธมีเมตตาต่อกัน มีกรุณาบนพื้นฐานของความดี ปราศจากอคติความขัดแย้ง วางอุเบกขาสร้างความเท่าเทียมให้ผู้ที่ทำการปฏิรูปและผู้ถูกปฏิรูป จะยังพระพุทธศาสนาให้คงมั่นยั่งยืน

 

นอกจากกรณีอดีตพระยันตระที่นายกรัฐมนตรีมีบัญชาให้ตรวจสอบ กลุ่มสันติอโศกโดยการนำของสมณะโพธิรักษ์ก็เป็นอีกหนึ่งบทสะท้อนการแยกกลุ่มปกครองตนเอง การไม่ยอมรับ ไม่ยอมอยู่ในสังกัดการปกครองของคณะสงฆ์ไทย

หากการปฏิรูปปรากฏผลทำให้ฝ่ายการเมือง ฝ่ายกำกับดูแล และฝ่ายปฏิบัติงานการปกครองคณะสงฆ์ดำรงอยู่ในหลักการที่เหมาะสม

เชื่อว่า…จักไม่มีกรณีล่าลายชื่อ ปักป้ายไม่รับมติปลด-แต่งตั้งเจ้าคณะจังหวัด และการลาออกจากตำแหน่งของพระสงฆ์ (ธรรมยุต) ดังเช่นที่กำลังเกิดขึ้นในจังหวัดกาฬสินธุ์

ให้สะเทือนวงการปกครองคณะสงฆ์