สงคราม : กิจการที่ต่อต้านได้ยาก [วิกฤติศตวรรษที่21]

มองโลกปี 2017 และหลังจากนั้น (28)

สงคราม : กิจการที่ต่อต้านได้ยาก

สงครามเป็นกลไกในการทำลายใหญ่ สิ่งที่เป็นเป้าหมายทำลายได้แก่ทรัพย์สินหรือความมั่งคั่งและชีวิต ยังมีกลไกในการทำลายล้างแบบนี้อยู่อีก เช่น

ก) การบูชายัญที่นำชีวิตของผู้คนและทรัพย์สินจำนวนมากมาทำลายในหลายพิธีกรรม

ข) มีโครงการหรือการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่สิ้นเปลืองทรัพยากรและแรงงานจำนวนมากโดยไม่ได้ยกมาตรฐานการครองชีพของชาวรากหญ้า เช่น การสร้างพีระมิดในอียิปต์ กำแพงใหญ่ในเมืองจีน

ค) การบริโภคแบบหรู หรือเพื่อแสดงฐานะที่เหนือกว่าของชนชั้นสูง ที่สร้างความสิ้นเปลืองและของเสียมาก

การที่มนุษย์มีนิสัยหรือธรรมชาติที่ต้องการทำลายทรัพย์สินความมั่งคั่งและชีวิต (ที่ตกเป็นเหยื่อ) อยู่เนืองๆ โดยเฉพาะที่ทำถึงขั้นสงครามนั้นเป็นที่สนใจว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร

มีนักคิดทฤษฎีได้เสนอคำอธิบายและคำตอบ ประมวลได้ดังนี้คือ

1) ทฤษฎีประชากรล้นเกินของ โรเบิร์ต มัลทัส ที่รู้จักกันดี กล่าวว่า ประชากรมีแนวโน้มที่จะเพิ่มในลักษณะเรขาคณิตหรือทวีคูณ เร็วกว่าการเพิ่มของอาหารที่เป็นแบบเลขคณิต หรือเพิ่มขึ้นทีละหนึ่ง

ดังนั้น ประชากรจึงมีแนวโน้มที่จะล้นเกินกว่าธรรมชาติแวดล้อมจะสนองอาหารให้ได้ เกิดสิ่งไม่พึงประสงค์ที่สำคัญๆ ได้แก่ สงคราม ความอดอยากและโรคระบาด ต้องแก้ไขด้วยการควบคุมจำนวนประชากร

ทฤษฎีนี้ต้องใช้เวลานานในการพิสูจน์ เนื่องจากการเพิ่มความสามารถในการผลิตอย่างเหลือเชื่อของอารยธรรมอุตสาหกรรม สามารถผลิตอาหารได้มากกว่าการเพิ่มของประชากร และกระบวนการโลกาภิวัตน์ที่นำทรัพยากรทั้งโลกมาใช้

อย่างไรก็ตาม พบว่าตั้งแต่ทศวรรษ 1970 ประชากรโลกเพิ่มในอัตราที่ลดลง ประชากรในท้องถิ่นประเทศพัฒนาแล้วที่บริโภคมากเริ่มลดลง

Prague residents carrying a Czechoslovak flag and throwing burning torches attempt to stop a Soviet tank in Prague 21 August 1968 as the Soviet-led invasion by the Warsaw Pact armies crushed the so called Prague Spring reform in former Czechoslovakia. / AFP PHOTO / CTK / LIBOR HAJSKY

2) ทฤษฎีการคัดเลือกโดยธรรมชาติ ที่เสนอโดย ชาร์ลส์ ดาร์วิน และ อัลเฟรด วอลเลซ และมีการพัฒนาขึ้นในภายหลัง กล่าวว่า ชีวิตทั้งหลายมีวิวัฒน์โดยการปรับตัวให้แข็งแรงเหมาะสมที่สุดกับสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ เพื่อการอยู่รอดและขยายพันธุ์ จากนี้นำไปสู่ “การแข่งขันทางอาวุธ” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นั่นคือสัตว์ทั้งหลายแข่งกันเพื่อให้แข็งแรงกว่า วิ่งเร็วกว่า อดทนกว่า และฉลาดกว่า เพื่อแย่งชิงพื้นที่แห่งการอยู่รอด

3) ทฤษฎีการบริโภคแบบหรู เสนอโดย ทอสไทน์ เวเบลน กล่าวว่า ชนชั้นสูงผู้มีเวลาว่างมีการบริโภคแบบหรูคือบริโภคเพื่อแสดงฐานะและเกียรติภูมิบารมีของตน สร้างวิถีชีวิตและการผลิตแบบหรูขึ้น ผลกระทบคือทำให้ช่องว่างทางชนชั้นและระหว่างเมืองกับชนบทขยายขึ้น

4) ทฤษฎีสัญชาตญาณแห่งความตายของ ซิกมุนด์ ฟรอยด์ กล่าวว่า มนุษย์มีสัญชาตญาณแห่งความตาย คลุกเคล้าอยู่กับสัญชาตญาณแห่งชีวิต มนุษย์มีด้านที่ต้องการทำลายพร้อมกับด้านที่สร้างสรรค์ การจะแก้ปัญหาสงคราม จะต้องทำให้ด้านสร้างสรรค์อยู่เหนือด้านทำลาย ซึ่งปฏิบัติไม่ได้ง่าย

5) ทฤษฎีสงครามไม่สิ้นสุด ในสังคมลำดับชั้นของ จอร์จ ออร์เวลล์ ในนวนิยาย “1984” (เผยแพร่ปี 1949) อธิบายความเป็นมาของสงครามว่า นับตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 จนถึงต้นศตวรรษที่ 20 การผลิตปริมาณมากด้วยเครื่องจักรกลและระบบอัตโนมัติ สร้างความมั่งคั่งของกินของใช้ล้นเหลือ มีส่วนยกมาตรฐานการครองชีพของผู้คนจำนวนมาก

ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปนานๆ ก็จะเกิดโลกที่ทุกคนทำงานวันละไม่กี่ชั่วโมง แต่มีกินอิ่ม มีบ้านที่มีห้องน้ำในตัวอยู่อาศัย มีตู้เย็น รถยนต์ ความไม่เท่าเทียมกันก็จะหายไป

ชนชั้นล่างก็จะได้รับการศึกษา ในที่สุดก็จะเห็นชัดว่า ชนชั้นสูงส่วนน้อยนั้นไม่จำเป็น ซึ่งเป็นการทำลายสังคมแบบมีลำดับชั้น

ดังนั้น เพื่อรักษาสถานะเดิมของสังคมมีลำดับชั้นไว้ ชนชั้นสูงจำต้องรักษาการผลิตปริมาณมากไว้ แต่ไม่กระจายไปจนถึงชนชั้นล่าง โดยการทำลายมันในสงคราม

โลกอนาคตตามจินตนาการของออร์เวลล์จะแบ่งเป็นสามเขตอภิมหาอำนาจ ได้แก่ โอเชียเนีย (ได้แก่ อเมริกา อังกฤษ เป็นต้น) ยูเรเซีย (ได้แก่ รัสเซียและเขตเอเชีย) และอีสเอเซีย (ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เป็นต้น) ทำสงครามอย่างไม่รู้จบ และเปลี่ยนพันธมิตรกันไปมา แต่เป็นสงครามแบบจำกัด และเป็นสงครามเพื่อสงคราม ไม่ได้เกิดจากสาเหตุทางวัตถุ หรืออุดมการณ์ใด

ในหนังสือเล่มนี้บรรยายจุดมุ่งหมายของสงครามไว้บางตอนว่า “จุดมุ่งหมายประการแรกของการสงครามสมัยใหม่ก็คือการใช้ผลผลิตจากเครื่องจักรโดยไม่ให้ยกระดับมาตรฐานการครองชีพของคนทั่วไป” และ

“ปฏิบัติการหลักของสงครามคือการทำลายล้าง แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นชีวิตมนุษย์ หากเป็นผลผลิตของแรงงานมนุษย์… บรรยากาศทางสังคมที่อยู่ในสภาพเมืองที่ถูกข้าศึกล้อม ทำให้การมีเนื้อม้าสักชิ้นก่อให้เกิดความแตกต่างระหว่างความมั่งคั่งกับความยากจนได้ ขณะเดียวกัน จิตสำนึกว่ากำลังตกอยู่ในสงครามที่มีอันตรายสูงทำให้การยอมมอบอำนาจทั้งหมดให้แก่ชั้นชนเล็กๆ เพียงกลุ่มเดียว ดูเป็นธรรมชาติและเป็นเงื่อนไขที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับการอยู่รอด” (ดูหัวข้อ 1984 Warfare Quote ใน shmoop.com และบทความชื่อ The Purpose of War According to George Orwell (1984) โดย Sister Joyous ใน akamat.worldpress.com 31.07.2007)

สงครามเป็นเครื่องมือที่ชนชั้นนำได้เข้าควบคุมสอดส่อง และกำหนดคุณค่าและความหมายทั้งหมดให้แก่ชนชั้นล่าง เช่น สงครามคือสันติภาพ ความโง่เขลาคือความเข้มแข็ง

6) ทฤษฎี “ตายดุจใบไม้ร่วง” ของ เจย์ แฮนสัน นักคิดชาวสหรัฐ ผู้สนใจเรื่องการล่มสลายของอารยธรรมสมัยใหม่ที่สืบเนื่องจากพลังงาน การใช้ทรัพยากรมากเกิน โดยอาศัยทฤษฎีจำนวนมาก ได้แก่ ทฤษฎีประชากร ทฤษฎีวิวัฒนาการ ที่เป็นพื้นฐาน ได้แก่ กฎของอุณหพลศาสตร์

สรุปความเห็นเขาได้ดังนี้ คือ

ก) มนุษย์เป็นสัตว์การเมือง มีความสัมพันธ์ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของอำนาจและสร้างการจัดลำดับชั้นขึ้นในวิวัฒนาการแบ่งเป็นสองชั้นใหญ่ ได้แก่ พวกที่อ่อนแอกว่าและพวกที่แข็งแรง พวกที่แข็งแรงกว่าจะเป็นผู้ที่ใช้พลังงานมากกว่าและมีอำนาจมากกว่าชนชั้นล่าง ได้กินอยู่ดีกว่า สามารถผลิตซ้ำยีน (Gene) ของตนได้มากกว่าคู่แข่ง

ข) มนุษย์เริ่มการตั้งถิ่นฐานเป็นกลุ่มเครือญาติ หรือตระกูลขนาดเล็ก จะสนับสนุนบุคคลในเครือญาติของตนเพื่อให้ใช้พลังงานและมีอำนาจมากขึ้น หรือก็คือการบริโภคพลังงานให้ได้สูงสุด เพิ่มโอกาสในการอยู่รอด การขยายพันธุ์ และการรักษาสถานะในระดับสูงไว้ทั้งภายในและระหว่างกลุ่ม

ค) แต่การบริโภคพลังงานให้ได้มากสูงสุด นำมาสู่การใช้พลังงานและสิ่งแวดล้อมมากเกินไป ทำให้พลังงานเสื่อมคุณภาพและเกิดของเสีย ผู้ที่ได้รับผลเสียจากเหตุการณ์นี้มากที่สุดได้แก่ชนชั้นล่าง เกิดรวมตัวกันเพื่อเรียกร้องส่วนแบ่งพลังงาน (และความมั่งคั่ง) จากชนชั้นสูง ขณะที่ชนชั้นสูงก็รวมตัวรักษาอำนาจของตนไว้ ความขัดแย้งทวีความรุนแรงขึ้น

จนที่สุดพวกที่อ่อนแอที่สุด (ซึ่งอยู่ทั้งในชนชั้นสูงและชนชั้นล่าง) จะถูกบังคับให้หนีไปอยู่ต่างแดนหรือถูกสังหาร ตกเป็นทาสหรือถูกจำขัง วงจรนี้เกิดซ้ำจนถึงปัจจุบัน (ดูบทความของ Jay Hanson ชื่อ Overshoot Loop : Evolution Under The Maximum Power Principle ใน dieoff.org 12.06.2015)

ตามทฤษฎีของแฮนสัน จักรวรรดิเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองในกระบวนวิวัฒนาการเช่นเดียวกับชนชั้นสูง เปรียบเทียบได้ว่า ชนชั้นสูงเกิดในอำนาจรัฐหนึ่ง ส่วนจักรวรรดิเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ของรัฐจำนวนมาก ซึ่งในปัจจุบันเรียกกันว่า “ประชาคมโลก”

สำหรับในคติพุทธเห็นว่า การยึดมั่นในการเป็นเจ้าของ นำมาสู่ความหวงแหน ก่อให้เกิดการวิวาทด่าทอ จนถึงจับอาวุธเข้าทำร้ายกันในที่สุด

มีธรรมะหลายข้อที่สามารถแก้ไขปัญหาสงครามได้ ในที่นี้จะยกหัวข้อธรรมะที่เป็นเชื้อสายของพระอริยะ ได้แก่ ความสันโดษ เป็นต้น

อธิบายตัวอย่างความสันโดษในจีวรที่ได้มาของภิกษุว่า “ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเป็นผู้สันโดษด้วยจีวรตามมีตามได้ มีปกติกล่าวสรรเสริญคุณแห่งความสันโดษด้วยจีวร ตามมีตามได้ ย่อมไม่ถึงการแสวงหาอันไม่สมควรเพราะจีวรเป็นเหตุ เมื่อไม่ได้ก็ไม่ตกใจ ครั้นได้แล้วก็ไม่ยึดถือ ไม่หมกมุ่น ไม่ห่วงใย มีปกติเห็นโทษ มีปัญญาเครื่องรื้อออกใช้สอยอยู่ และย่อมไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะความสันโดษ ด้วยจีวรตามมีตามได้นั้น” (ดูเรื่อง “พระไตรปิฎกฉบับปฏิบัติธรรม-วังสสูตร” ใน larnbuddhism.com)

จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า สงครามเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เนื่องๆ และต้านทานได้ยาก เพราะว่ามันฝังแน่นอยู่ในจิตใจของเราเอง

ปัจจุบันเชื้อแห่งสงครามก็มีมากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ได้แก่ จำนวนประชากรมหาศาล ทรัพย์สิน ความมั่งคั่งกองใหญ่ สำหรับการแย่งชิงและทำลาย การจะสงบระงับสงครามลงได้บ้างก็ต้องตัดวงจรการเมืองแห่งสงคราม ลดละเลิกลัทธิจักรวรรดินิยม และมีความสันโดษในการบริโภคมากขึ้น

สงครามชิงพื้นที่และพันธมิตรในยูเรเซีย

และโครงการ “หนึ่งแถบ หนึ่งทาง”

สงครามชิงพื้นที่และพันธมิตรนี้เป็นสิ่งพื้นฐาน และปฏิบัติร่วมกับการสงครามแบบอื่น ได้แก่ สงครามเศรษฐกิจ สงครามข่าวสาร สงครามไซเบอร์ เป็นต้น ในประเด็นสงครามชิงพื้นที่และพันธมิตรนี้ มีที่ควรกล่าวถึง ได้แก่

1) ประเทศมหาอำนาจที่จะชิงชัยกันนั้นมีสหรัฐฝ่ายหนึ่ง กับรัสเซียและจีนอีกฝ่ายหนึ่ง เป็นตัวเอก ประเทศที่เหลือเป็นตัวรองอยู่ในระดับพันธมิตรและชายขอบ แต่เหมือนในเรื่องทั้งหลายตัวเอกไม่สามารถทำอะไรทุกอย่างได้ ต้องอาศัยตัวรอง

2) รัสเซียและจีนที่เข้มแข็งรุ่งเรืองขึ้น ได้ริเริ่มโครงการใหญ่ 3 โครงการ ได้แก่

ก) องค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้

ข) สหภาพยูเรเซียและมหายูเรเซีย

ค) โครงการ “หนึ่งแถบ หนึ่งถนน” เป็นการประกาศชัดเจนแก่สหรัฐว่า พื้นที่ตั้งแต่ชายฝั่งแปซิฟิกตะวันออกจนถึงทะเลจีนใต้ ข้ามแผ่นดินใหญ่ตั้งแต่เอเชียตะวันออก เอเชียกลาง เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง ยุโรปตะวันออกไปทางตะวันตกถึงทะเลดำ ทะเลบอลติก ช่องแคบอังกฤษ ทะเลดำ ทะเลแคสเปียน ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เป็นเขตผลประโยชน์ของรัสเซีย-จีน บางส่วนเป็น “ผลประโยชน์ใจกลาง” ต่อรองไม่ได้ บางส่วนเป็นผลประโยชน์ร่วมกับชาติอื่นๆ นอกจากนี้ โครงการ “ถนนสายไหมทางทะเล” ยังกินพื้นที่ถึงทวีปแอฟริกาอีกด้วย

การแสดงตัวดังกล่าว ย่อมก่อให้เกิดพื้นที่ผลประโยชน์ทับซ้อนเป็นบริเวณกว้างมาก กับสหรัฐผู้วางตัวเป็นตำรวจโลก และถือว่าทั้งโลกทั้งที่เป็นผืนน้ำและแผ่นดินรวมทั้งน่านฟ้า ล้วนเป็นเขตผลประโยชน์ของตน เช่น การเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ในพม่าก็เป็นผลประโยชน์ของสหรัฐ ดังนั้น โอกาสของการปะทะกันมีสูง ยกเว้นแต่ว่าฝ่ายสหรัฐจะยอมอ่อนข้อให้บ้าง แต่ในทางปฏิบัติไม่เป็นเช่นนั้น

3) ในการแย่งชิงพื้นที่และพันธมิตร พบว่ารัสเซีย-จีนได้รุกคืบขยายพื้นที่และพันธมิตรของตนอย่างเห็นได้ ตัวอย่างเช่น

 

ก) กรณียูเครน นายอเล็กซานเดอร์ ซาคาเชนโก ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนแห่งดอนเนตสก์ (เป็นรัฐแยกตัวเป็นอิสระจากยูเครนโดยการสนับสนุนของรัสเซีย) ประกาศว่ารัฐดอนเนตสก์และรัฐลูฮันสก์จะจัดตั้งรัฐใหม่ชื่อว่า “มาโลรอซซิยา” (แปลว่ารัสเซียน้อย) ขึ้นแทนที่รัฐยูเครน มีเมืองหลวงอยู่ที่ดอนเนตสก์ ส่วนเมืองเคียฟ ที่เป็นเมืองหลวงปัจจุบันจะมีฐานะเป็นเมืองศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม

(ดูรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ปราฟดา ชื่อ Ukraine collapse officially” Donetsk and Luhansk republics create their own state ใน pravdareport.com 18.07.2017)

ทางการรัสเซียไม่ได้ตอบรับและปฏิเสธ แต่ดูจากบริบทแวดล้อม เป็นการย้ำอย่างหนักแน่นว่าดินแดนทางตะวันออกของยูเครนที่มีชาวรัสเซียอาศัยอยู่มากและได้แยกเป็นรัฐอิสระนั้น เป็นสิ่งถาวร

ข) กรณีซีเรีย เป็นการต่อสู้ทางนโยบายและปฏิบัติการทางทหารระหว่างสหรัฐกับรัสเซีย สหรัฐได้ร่วมกับพันธมิตรในพื้นที่หลายชาติ มีซาอุดีอาระเบียและตุรกี เป็นต้น เพื่อเปลี่ยนระบบอัสซาดในซีเรีย แต่ทำอยู่นานไม่สำเร็จ เมื่อรัสเซียเข้าแทรกแซง สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปชัดเจนว่านโยบายนี้ยากที่จะปฏิบัติต่อไปได้ เพราะมันหมายถึงต้องปะทะกับรัสเซีย ซึ่งมีค่าใช้จ่ายมากเกินไป

ในอีกด้านหนึ่ง รัสเซียมีนโยบายว่า ต้องรักษาบูรณภาพของซีเรียและอนาคตของซีเรียให้ชาวซีเรียตัดสิน ซึ่งยอมรับได้ง่ายกว่า และถูกต้องตามกฎหมายระหว่างประเทศมากกว่า ตุรกีที่ไม่ต้องการเห็นชาวเคิร์ดในซีเรียแข็งแรง แยกตัวเป็นอิสระเป็นฐานแก่กลุ่มกบฏแยกดินแดนด้านตะวันออกเฉียงใต้ไปร่วมเป็นรัฐของชาวเคิร์ด แต่สหรัฐหนุนชาวเคิร์ดในซีเรียเพื่อต่อสู้กับกลุ่มรัฐอิสลาม ก่อความขัดแย้งที่เพิ่มมากขึ้นทุกที จนถึงขั้นสำนักข่าวของตุรกีเผยแพร่ที่ตั้งฐานทัพสหรัฐทางตอนเหนือของซีเรีย และแสดงตนเอียงข้างรัสเซียมากขึ้นโดยลำดับ

ตอนต่อไปจะกล่าวการปรับตัวของสหรัฐเพื่อต่อต้านการรุกคืบของรัสเซีย-จีน และสงครามเศรษฐกิจ