ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 5 - 11 พฤศจิกายน 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | หนังสือเรียนสำหรับเด็ก (เล่มใหม่) |
เผยแพร่ |
บทความพิเศษ
ฟ้า พูลวรลักษณ์
หนังสือเรียนสำหรับเด็ก (๑๐๐)
๑
สมัยก่อนฉันเข้าใจผิด คิดว่าใครๆ ก็อ่านบทกวีได้ ทุกคนมีสภาวะกวีภายใน ดังนั้น กวีจึงมีอนาคตกว้างไกล
แต่ต่อมา อย่างช้าๆ ฉันจึงรู้ข้อผิดพลาดของตัวเอง สมัยก่อนฉันจึงเคยเอาหนังสือบทกวีไปแจกทั่วราชอาณาจักร มากมายเป็นหมื่นเป็นแสน ด้วยความรู้สึกประทับใจ คิดว่ามีประโยชน์ แต่วันนี้ มองดูย้อนหลัง มันจะมีประโยชน์ใดได้
๒
คนอ่านบทกวีที่จริงมีเพียงหยิบมือเท่านั้น มาจากข้างใน คนส่วนใหญ่ พวกเขาไม่อ่าน อ่านไม่เป็น โลกนี้ทั้งโลก ไม่ใช่ที่อยู่ของกวี
๓
ฉันเคยมีเพื่อนสนิทรวมตัวเองเป็นแปดคน เราทุกคนมีสภาวะกวี เรานัดเจอกันบ่อยๆ นั่งคุยกัน เล่นกันทั้งวัน เรามีความสุข คิดว่านี้คือโลก
แต่หากสังเกตให้ดี จะเห็นความผิดปกติ เช่น เราแปดคนไม่มีใครขับรถเลย สมัยก่อนเรารู้แต่ไม่ได้ใส่ใจ คงเพราะเรารู้สึกการขับรถมารบกวนสภาวะกวี
แต่วันนี้เราเห็นถึงความแตกแยกอย่างชัดเจน
และยิ่งเห็นชัดว่าเราเป็นคนหมู่น้อย
๔
กาลเวลาล่วงผ่านไป บัดนี้เพื่อนของฉันตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง ยังเหลือที่ยังมีชีวิตอีกครึ่งหนึ่ง แต่ทุกวันนี้ เรานานๆ จะเจอกันที อาจเจอปีละครั้ง หรืออย่างมากก็สองครั้ง
ความห่างเหินนี้เกิดขึ้นเอง เหมือนอาการฝ่อตัวลงของสภาวะกวี แต่ทุกคนที่ยังเหลืออยู่ ก็ยังมีพลัง มีความสุขในแบบของเขา
เช่น คนหนึ่งไปทำร้านกาแฟ หากแต่เป็นร้านที่บริกรในร้านเป็นคนปัญญาอ่อน เขาอยากหาอาชีพให้คนปัญญาอ่อน และบริกรในร้านกาแฟก็เป็นงานง่ายๆ น่ารัก
๕
คนหนึ่ง ในช่วงหลังกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องอาหาร เขาศึกษาลึกขึ้น และกลายเป็นผู้มีความรู้ในการทำอาหาร ในการชิม ท้ายสุด ที่บ้านของเขา เขาได้ทำสวนครัว ปลูกต้นไม้ มีผัก มีพริกนานาชนิด เขาก็มีความสุข มีพลังกับชีวิตในแบบของตน
พวกเราที่ล้วนมีสภาวะกวี ก็ยังมีอยู่ แต่มันไม่ใช่โลกกว้างอีกแล้ว หากเป็นโลกของชนหมู่น้อย ที่สมัยก่อนตัวเราเองไม่รู้ตัว
๖
สมัยก่อน ฉันสนิทสนมกับจ่าง เขาเป็นกวีที่มีพลัง เป็นอัจฉริยะ เวลาอยู่ด้วยกันสนุกไปหมด
หากวันนี้ฉันมาเจอเจ็ดจ่าง จะเป็นยังไงนะ หากคิดจากสมัยก่อน คงตื่นเต้นน่าดู คงสนุกเหลือแสน
แต่ทว่าหากคิดจากวันนี้ ก็ไม่มีอะไร เพราะเราไม่ได้เป็นตัวแทนของอะไรอีกแล้ว แม้แต่ความสนุกเหล่านั้น ก็ยังน่าเคลือบแคลง
๗
ที่จริง กวี คือผู้นำเสียงของภูเขา มหาสมุทร แม่น้ำลำคลอง พืชและสัตว์ เพศชายเพศหญิง ดวงดาวและเฆมหมอก เด็กและคนแก่ ทุกสิ่งเหล่านี้ให้มีเสียงเปล่งออกมา มีเรื่องราว มีบทบาทในโลก
เสียงที่เปล่งออกมานี้แหละ คือสภาวะกวี ไม่ใช่ท่วงทำนองเสนาะ ไม่ใช่แบบแผนฉันทลักษณ์ ซึ่งอันนั้นไม่สำคัญอะไร ดังนั้น เสียงเหล่านี้น่าจะเป็นสากล
แต่ทำไมโลกนี้จึงเงียบกริบ ไม่มีคนฟัง ทำไมแม่น้ำลำคลอง หรือแม้แต่ภูเขา มหาสมุทร ก็กลายเป็นใบ้
๘
อดคิดถึงตัวเองไม่ได้ และตกตะลึงที่พบว่า
จุดแข็ง
จุดอ่อน
จุดเป็น
จุดตาย
ของฉันคือจุดเดียวกัน คือการเป็นกวีของฉันนั่นเอง
๙
วันนี้ฉันไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นเลย ไม่อยากถูกครอบงำด้วยสิ่งเดียวที่ไร้ประโยชน์นี้ แต่ทำยังไงได้ มันเป็นเช่นนั้น ฉันสงสัยว่าการเป็นกวีนี้เป็นมาแต่กำเนิดเลยหรือ ก็ไม่น่าใช่ เพราะพ่อแม่พี่น้องของฉัน ไม่มีใครเป็น มันคงเป็นสิ่งที่ฉันเรียนรู้มาในวัยเด็ก แต่เมื่อไหร่ ฉันก็จำไม่ได้ มันเนิ่นนานมาก จนกลายเป็นอวัยวะของฉันไป ที่หากตัดออก ฉันก็อาจตายได้
๑๐
น่าแปลกใจ ประติมากรสมัยกรีกและโรมัน ก็ไม่เคยไปแกะสลักก้อนหิน หรือปั้นรูปปั้นบนเขาหิมาลัย ทั้งนี้เพราะที่นั่นมีผู้คนอาศัยเบาบาง ทำไปก็ไม่รู้ทำให้ใครดู
ประติมากรของจีนก็เช่นกัน พวกเขาก็ไม่เคยไปทำงานบนเขาเทียนซาน หรือคุนหลุนซาน ด้วยเหตุผลเดียวกัน
๑๑
ในยุคสมัยที่มนุษย์สร้างอาณานิคมในระบบสุริยจักรวาล ก็คงไม่มีประติมากรคนไหนจะไปแกะสลักหินหรือปั้นรูปปั้นบนวงแหวนของดาวเสาร์ ทั้งนี้เพราะมีสี่อุปสรรคใหญ่ ได้แก่
ทำงานยาก
ต้องลงทุนสูง
มนุษย์ที่จะอาศัยอยู่แถบนั้นคงเบาบาง ทำไปก็ไม่รู้ทำให้ใครดู
ถึงทำอย่างไร ก็สู้ความมหัศจรรย์ของธรรมชาติไม่ได้ ด้วยมีก้อนหินนับโกฏิล้านหมุนวนเป็นวงแหวน
๑๒
เช่นเดียวกับจิตรกร ที่จริงจิตรกรมีอยู่ เพราะสมัยโบราณ มนุษย์ไม่มีกล้องถ่ายรูป จริงอยู่ภาพจิตรกรรมแตกต่างจากภาพถ่าย แต่หากหมื่นปีก่อน มนุษย์มีกล้องถ่ายรูป จิตรกรก็ไม่มีเวลาเกิด ถึงเกิดก็ไม่มีเวลาจะเติบโต
ฉันชอบแสงอาทิตย์ในรูปวาด มากกว่าแสงอาทิตย์ในภาพถ่าย นี้เป็นความลึกซึ้ง
แต่นอกนั้น ฉันก็มองไม่เห็นสิ่งอื่นใดจะเอาชนะภาพถ่ายได้
๑๓
ชีวิตต้องการเวลาในการเติบโตด้วย
จิตรกรรมต้องการเวลาในการเติบโต
ฉันอดคิดไม่ได้ว่า ในอนาคตอันใกล้ วันที่มือถือของมนุษย์มี ๑๙ G หรือ ๒๐ G กล้องถ่ายรูปในมือถือของเราคงมีประสิทธิภาพไร้เทียมทาน ในความคมชัด ในความว่องไว
และที่สำคัญ ด้วย applications อื่นๆ พวกมันสามารถพลิกมิติได้ เป็นสิ่งอันเหลือจะประมาณได้ ถ้าเช่นนั้นจิตรกรจะมีที่อยู่ที่ตรงไหน
๑๔
ฉันจินตนาการว่า ในยุคอนาคตที่มียานอวกาศลำใหญ่ กำลังจะออกเดินทาง มีที่นั่งหลายพันที่ หรือหนึ่งหมื่นที่ จะมีสักหนึ่งที่ไหมสำหรับกวี
คำตอบคือ ไม่น่ามี ด้วยกวีเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้ประโยชน์ มีอาชีพอื่นอีกมากมาย มีศาสตร์สาขาอื่นมากมายที่ทรงคุณประโยชน์มากกว่า ยิ่งในอวกาศกว้าง ยิ่งในอนาคตอันยาวไกล
๑๕
ฉันพยายามละทิ้งความเป็นกวีของตัวเอง และไปเป็นสิ่งอื่น แต่ก็เป็นไม่ได้ ฉันแก่เกินไปแล้ว ปรับตัวไม่ได้ ที่จริง มีสิ่งอื่นที่ฉันทำได้ แต่ก็แค่ทำได้บ้าง พอทำไปไม่นาน สภาวะกวีก็กลับคืนมาอยู่ดี เหมือนเป็นสันดาน แก้ไม่หาย
๑๖
ในวันที่มนุษย์สร้างอาณานิคมในระบบสุริยจักรวาล ฉันคงไม่อยู่แล้ว แต่สมมุติว่าฉันยังอยู่ ในกายรูปใดก็แล้วแต่ อาจบางที ในวันนั้นฉันจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่หายาก ด้วยเหลือน้อย และใกล้จะสูญพันธุ์
๑๗
ในวันนั้น ที่ยานอวกาศใหญ่ลำนั้น อาจมีที่นั่งพิเศษสำหรับสามคน
๑ ประติมากร
๒ จิตรกร
๓ กวี
สิ่งมีชีวิตที่หายากในจักรวาล