ปชป.เปิดศึกในบ้าน ชิงพื้นที่ลง ส.ส. ‘จุรินทร์’ มองบวก พรรค ‘ขาขึ้น’/บทความในประเทศ

บทความในประเทศ

 

ปชป.เปิดศึกในบ้าน

ชิงพื้นที่ลง ส.ส.

‘จุรินทร์’ มองบวก พรรค ‘ขาขึ้น’

 

ทันทีที่รัฐธรรมนูญปี 2560 ถูกแก้ระบบเลือกตั้ง ปรับให้มี ส.ส.เขต 400 คน และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน และใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ เสร็จสิ้นไปแล้ว รอเพียงกฎหมายลูก ทั้งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ออกมาบังคับใช้เท่านั้น

นั่นทำให้บรรดาพรรคการเมืองเริ่มเคลื่อนไหว โดยเฉพาะ ส.ส.เขต ต่างประกาศตัวว่าจะลงชิงเก้าอี้กันทั้งนั้น

ดูได้จากพรรคประชาธิปัตย์แม้จะเป็นพรรคเก่าแก่ ที่ส่อเค้าวุ่นแต่แรกในเรื่องตัวผู้สมัคร โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้ ที่เขตเลือกตั้งเพิ่มขึ้น และเป็นฐานที่มั่นของประชาธิปัตย์ ที่ตอนนี้มี ส.ส.อยู่ 22 คน มีการประกาศว่าจะรวมพลังกันเพื่อกอบกู้ที่นั่ง ส.ส.ทั้งหมดให้ได้

ความไม่ลงตัวและส่อถึงปัญหาในพรรค เกิดขึ้นในพื้นที่พัทลุง เขต 2 พื้นที่เดิมเป็นของนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตรองหัวหน้าพรรค และอดีต ส.ส. โดยเป็นช่วงที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรค ดำเนินกิจกรรม “จุรินทร์ ออนทัวร์” ไปที่ จ.พัทลุง ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า จุรินทร์ ออนทัวร์ ไปจังหวัดไหน แล้วจังหวัดนั้นมีความพร้อมก็จะเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขตทันที เพื่อให้ผู้สมัครได้เริ่มทำกิจกรรมกับคนในพื้นที่

นายนิพิฏฐ์เกิดความไม่พอใจ เพราะในที่ประชุมร่วมกับนายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคตามภารกิจและภาคใต้ ซึ่งมีนายนริศ ขำนุกรักษ์ ส.ส.พัทลุง เขต 3 และ น.ส.สุพัชรี ธรรมเพชร อดีต ส.ส.พัทลุง เขต 1 อยู่ด้วย กลับประกาศที่จะให้บุตรชายของนายวิสุทธิ์ ธรรมเพชร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) พัทลุง ที่เป็นน้าชายของ น.ส.สุพัชรีลงสมัครในเขต 2 และเป็นที่น่าสังเกตว่าการประชุมกันครั้งนี้มีนายสุพัฒน์ ธรรมเพชร บิดาของ น.ส.สุพัชรีร่วมอยู่ด้วย ทั้งที่ไม่ได้ร่วมกิจกรรมกับพรรคประชาธิปัตย์มานานแล้ว

จึงสร้างความไม่พอใจให้กับนายนิพิฏฐ์เจ้าของพื้นที่เดิม ที่ออกมาระบุว่า ได้วางคนของตัวเองในการลงสมัคร ส.ส.เขต 3 ไว้แล้ว และทั้งนายนริศและ น.ส.สุพัชรีก็รับรู้ และเห็นดีด้วย นายนิพิฏฐ์จึงออกมาโพสต์แสดงความไม่พอใจที่ไม่ให้เกียรติกัน และถึงขั้นนายนิพิฏฐ์โทรศัพท์ฟ้องนายหัวชวน หลีกภัย ประธานสภา และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ว่าทำอย่างนี้ไม่ถูกต้อง ส่วนนายนริศปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่องนี้ เพราะนายนิพิฏฐ์บอกกับ น.ส.สุพัชรีคนเดียว

ปัญหาที่เกิดขึ้นอาจเป็นเพราะการสื่อสารไม่เข้าใจกัน เนื่อจากนายนิพนธ์ออกมาบอกว่าไม่รู้เรื่องที่นายนิพิฏฐ์จะส่งใครลงสมัครในเขต 2 พัทลุง เพราะไม่ได้แจ้งอะไรให้แกนนำพรรคทราบเลย แต่เรื่องนี้ไม่มีปัญหา เป็นเรื่องในครอบครัว สามารถพูดคุยกันได้ และจะมีการพูดคุยกันในปลายสัปดาห์นี้

 

ปัญหาเรื่องผู้สมัครเกิดขึ้นมาต่อเนื่อง ตั้งแต่การลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของนายจุรินทร์และนายนิพนธ์ แล้วที่มีการเปิดตัวผู้สมัคร จ.นราธิวาส แต่กลับไม่เปิดตัวผู้สมัคร จ.ปัตตานี นายอันวาร์ สาและ ส.ส.ปัตตานี สงสัยว่ามีปัญหาอะไรหัวหน้าพรรคถึงไม่เปิดตัว ทั้งที่ตัวเองก็ไปต้อนรับ แต่หัวหน้าพรรคกลับไม่เรียกคุยอะไรเลย

เจ้าตัวถึงกับบ่นแบบน้อยใจว่าเขาคงไม่ให้ลงแล้วมั้ง แล้วบอกว่า สำหรับผมมี 2 ทาง คือเลิกเล่นการเมืองแล้วไปทำอย่างอื่น หรือถ้าประชาชนให้ลงสมัคร ส.ส.อีกเพื่อสานงานต่อ ก็ขอให้บอกว่าควรไปอยู่พรรคไหน การเลือกตั้งครั้งที่จะถึงนี้ ผมให้ประชาชนตัดสินใจแทนทั้งหมด และไม่ต้องกลัวว่าจะไปไม่รอด เพราะเป็นหน้าที่ของผม ผมต้องกลับมาเข้าเป็น ส.ส.เอง

หรือแม้แต่ปัญหาที่ จ.นครศรีธรรมราช ที่นายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราช ประกาศส่งน้องชาย นายพิทักษ์ เดชเดโช ลงสมัคร ส.ส.เขต 1 ทำเอามีปัญหาอีก ทั้งที่ยังไม่ผ่านกระบวนการของพรรค เพราะ น.ส.นริศา อดิเทพวรพันธุ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช เขต 1 ไม่ทราบเรื่อง จนผู้ใหญ่ในพื้นที่ต้องหาทางแก้ปัญหา รวมทั้งใน จ.กระบี่ ทั้งนายสาคร เกี่ยวข้อง ส.ส.กระบี่ น.ส.พิมพ์รพี พันธุ์วิชาติกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ ต่างหมายมั่นให้นายธนวัช ภูเก้าล้วน อดีตนายเทศมนตรีเมืองกระบี่ ลงสมัคร ส.ส.เขต 2 เพราะเชื่อว่า หาก 3 ตระกูลนี้จับมือกันชนะแน่ แต่ก็สะดุด เพราะแว่วว่า นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค ให้การสนับสนุนนายสุชิน เอ่งฉ้วน อดีต ส.ส.กระบี่ บุตรชายนายอาคม เอ่งฉ้วน ลงอีกสมัย ทำให้นายจุรินทร์ต้องเกรงใจ แต่สุดทายก็ไม่รู้จะออกหัวออกก้อย

หรือแม้แต่กรณีของนายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ การเลือกตั้งเที่ยวนี้ต้องการลงสมัคร ส.ส.เขต พื้นที่ จ.พังงา ที่มีเขตเลือกตั้งเพิ่มขึ้นอีก 1 เขต และเป็นบ้านเกิดด้วย แต่ถูกสกัดจากหัวหน้าพรรค ที่หนุนอดีตนายก อบจ.พังงา นายบำรุง ปิยนามวาณิช ซึ่งมีความสนิทสนมกันมานานลงในเขตนี้ แล้วให้โฆษกพรรคไปหาเขตลงใน กทม.เอาเองแบบไม่ไยดี

ปัญหาทุกอย่างจึงต้องถึงมือ “ชวน หลีกภัย” ปรามลูกพรรคโดยการส่งข้อความเข้าไลน์กลุ่ม “ประชาธิปัตย์เดินหน้า” ที่มีทั้ง ส.ส.และอดีต ส.ส.อยู่ด้วย ว่า “ผมเป็นหนี้บุญคุณประชาชน และพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้ผมชนะการเลือกตั้งทุกสมัยอย่างมีเกียรติ”

 

ส่วน “จุรินทร์” หัวหน้าพรรค ระบุปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นปัญหาอะไร และคิดในทางบวก ว่าการที่มีผู้แย่งกันลงสมัคร ส.ส.เป็นเพราะประชาธิปัตย์กำลังขาขึ้น กระแสดี แต่ใครจะได้ลงเขตไหน และมีมากกว่า 1 คน ก็อยู่ที่คณะกรรมการสรรหา ที่มีนายชำนิ ศักดิเศรษฐ เป็นประธานไปดำเนินการ โดยการสำรวจความคิดเห็น หรือทำไพรมารี่ และให้มติกรรมการบริหารพรรคตัดสิน โดยดูความเหมาะสมและโอกาสที่จะได้รับเลือกตั้ง

ขณะที่ในมุมมองของนายสุขุม นวลสกุล อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง มองว่า

“ประชาธิปัตย์น่าจะดีกว่าเก่า แต่ต้องไม่ลืมว่าเก่าคือพรรคขนาดกลางไม่ใช่พรรคอันดับสองหรืออันดับหนึ่ง เพราะดีกว่าเก่าไม่ใช่กลับมาใหญ่เหมือนเดิม เนื่องจากบทบาที่ทำอยู่น่าจะได้คะแนนนิยมเพิ่มขึ้น ถ้าเป็นการเลือกตั้งแบบบัตรสองใบ และชื่อพรรคประชาธิปัตย์ยังติดอยู่พอสมควร ชาวบ้านนึกอะไรไม่ออกก็เลือกพรรคเก่า และภาคใต้กลายมาเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่สมัยนายชวน ที่สมัยก่อนเขาเรียกว่ามนต์ขลังลุงชวน เป็นความภาคภูมิใจของคนใต้ ที่มีนายกรัฐมนตรี ตอนนี้ประชาธิปัตย์ดีขึ้น แต่ไม่ใช่พรรคเดียว คะแนนก็ต้องแบ่งกัน เพราะพรรคภูมิใจไทยก็หวังในภาคใต้ หรือจังหวัดชายแดน พรรคประชาชาติ และกลุ่มวาดะห์ก็ยังมีอิทธิพลอยู่ ดังนั้น ประชาธิปัตย์ในจังหวังภาคใต้จะให้เหมือนเดิมคงยาก อย่าง จ.นครศรีธรรมราช หรือสงขลาก็เห็นชัดว่าแบ่งคะแนนกันอยู่ ส่วนภาคอื่นๆ ก็พอมีทางเกิดได้ในบางเขตเพราะมีปัจจัยหลายอย่างมาประกอบ”

จนถึงวันนี้ในพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะภาคใต้ยังคงฝุ่นตลบ ส่วนจะเป็นขาขึ้นหรือหลอกตัวเอง ชาวบ้านจะเป็นผู้ให้คำตอบ