ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 29 ตุลาคม - 4 พฤศจิกายน 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศ |
เผยแพร่ |
บทความต่างประเทศ
ฟรานเซส เฮาเกน
อดีตพนักงานผู้กล้าเปิดโปง ‘เฟซบุ๊ก’
ช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ผู้ใช้งานทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยได้เห็นปรากฏการณ์ “เฟซบุ๊กล่ม” เป็นเวลายาวนานถึง 6 ชั่วโมง สร้างความไม่พอใจให้กับผู้ใช้งานเฟซบุ๊กที่มีจำนวนมากถึง 2,700 ล้านคนทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่ “ปัญหาใหญ่” ที่สุดที่เฟซบุ๊กกำลังเผชิญในช่วงเวลานั้น
เนื่องจากตั้งแต่เดือนกันยายน “ฟรานเซส เฮาเกน” อดีตพนักงานของเฟซบุ๊ก ได้ออกมาเปิดเผยเอกสารภายในจำนวนหลายพันหน้า กับสื่อหลายสำนัก
พร้อมกับกล่าวหาสื่อโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่ของโลกแห่งนี้ว่า ปล่อยปละละเลยที่จะจัดการกับปัญหาการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือน การสร้างความเกลียดชัง และความรุนแรง แม้จะรู้ดีว่ามีปัญหาเหล่านี้อยู่ก็ตาม
เฮาเกนถึงกับกล่าวหาเฟซบุ๊กอย่างดุเดือดว่า ให้ความสำคัญกับ “ผลกำไรมากกว่าสังคม”
ฟรานเซส เฮาเกน ทำงานกับเฟซบุ๊กเป็นเวลาเกือบ 2 ปีในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์ โดยถูกมอบหมายให้ทำงานในทีม Civic integrity ทีมงานที่มีบทบาทในการตรวจสอบการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนในเฟซบุ๊ก และทำให้แน่ใจว่าเฟซบุ๊กจะไม่ถูกใช้เป็นบ่อนทำลายประชาธิปไตย
ก่อนหน้านั้น เฮาเกนวิศวกรหญิงวัย 37 ปี นับได้ว่าประสบความสำเร็จและผ่านสายงานด้านเทคโนโลยีมาอย่างโชกโชน เคยผ่านงานผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์ในบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่หลายบริษัท ในจำนวนนั้นรวมไปถึง Google, Pinterest และ Yelp และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งแอพพลิเคชั่น “หาคู่” ที่ปัจจุบันพัฒนามาเป็นแอพพ์หาคู่ชื่อดังอย่าง Hinge ด้วย
เฮาเกนสนใจในเรื่องจัดการกับข้อมูลบิดเบือนในโลกออนไลน์ โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากชีวิตของตัวเอง โดยเฮาเกนเล่าย้อนไปในปี 2014 ที่เธอเคยเห็นคนใกล้ตัวตกเป็นเหยื่อหมกมุ่นอยู่กับ “กระทู้” ในโลกออนไลน์ที่เผยแพร่ “ทฤษฎีสมคบคิดชาตินิยมคลั่งคนขาว” มาแล้ว
“มันเป็นเรื่องของการศึกษาเรื่องข้อมูลบิดเบือน และอีกเรื่องก็คือการที่ต้องสูญเสียใครบางคนไปกับมัน” เฮาเกนให้สัมภาษณ์กับเดอะวอลสตรีตเจอร์นัล
และว่า “มีคนอีกมากที่ทำงานเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์พวกนี้แต่กลับมองเห็นแต่ด้านดีของมัน”
นั่นจึงเป็นเหตุผลให้เฮาเกนไม่ลังเลที่จะตอบรับเฟซบุ๊กที่ยื่นข้อเสนอให้เธอไปร่วมงานในปี 2018 โดยเธอยืนยันที่จะทำงานที่เกี่ยวข้องกับ “ประชาธิปไตย” และการจัดการกับ “การเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือน” ให้กับเฟซบุ๊ก
ในปี 2019 เฮาเกนได้รับมอบหมายให้ร่วมทีม Civic integrity โดยมีหน้าที่ในการตรวจสอบการแทรกแซงการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม ทีมงานของเฮาเกนก็ถูกยุบลงไม่นาน หลังจากการเลือกตั้งสหรัฐอเมริกาในปี 2020 สิ้นสุดลง
เฮาเกนเปิดเผยผ่านรายการ ’60 Minute’ ว่า เธอเริ่มหมดศรัทธากับเฟซบุ๊กไม่นานหลังจากทีมงานของเธอถูกยุบลงไป แม้เฟซบุ๊กจะออกมาชี้แจงภายหลังว่า จริงๆ แล้วทีมงานถูกกระจายไปตามแผนกต่างๆ แต่เฮาเกนก็ยืนยันว่า เฟซบุ๊กปล่อยปละละเลยในการจัดการกับข้อมูลบิดเบือนที่ถูกเผยแพร่ในแพลตฟอร์มของตัวเอง
“มันมีการทับซ้อนกันระหว่างอะไรที่ดีสำหรับสังคม และอะไรที่ดีกับเฟซบุ๊ก” เฮาเกนระบุ และว่า “หลายต่อหลายครั้งเฟซบุ๊กเลือกผลประโยชน์ของตัวเองก่อน อย่างเช่น การกอบโกยเงิน”
เฮาเกนยังกล่าวหาด้วยว่า เฟซบุ๊กโกหกเกี่ยวกับกระบวนการในการจัดการกับเนื้อหาสร้างความเกลียดชังในโลกออนไลน์
นอกจากนี้ ยังกล่าวหาเฟซบุ๊กด้วยว่า เฟซบุ๊กเคยถูกใช้เป็นเครื่องมือในการก่อจลาจลที่ “อาคารรัฐสภาสหรัฐ” ในวันที่ 6 มกราคมที่ผ่านมาด้วย หลังจากเฟซบุ๊กเลือกที่จะปิดระบบความปลอดภัยหลังการเลือกตั้งสหรัฐอเมริกาสิ้นสุดลง
ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา เฮาเกนยื่นเรื่องร้องเรียน 8 เรื่องให้กับสำนักงานคณะกรรมาธิการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ของสหรัฐ โดยกล่าวหาเฟซบุ๊กว่าไม่ได้รายงานถึงความบกพร่องดังกล่าวต่อนักลงทุนและสาธารณชน
เฮาเกนไม่หยุดแค่นั้น ยังเดินหน้าเผยแพร่เอกสารภายในของบริษัทเฟซบุ๊กอีกนับพันหน้าให้กับ “เดอะวอลสตรีตเจอร์นัล” ตามมาด้วยความร่วมมือกับอีกหลายสื่อทั้งเล็กและใหญ่ที่ร่วมกันวิเคราะห์ข้อมูลจากเอกสารดังกล่าวและรายงานข้อมูลที่ค้นพบตามมาอีกหลายกรณี
เอกสารหลุดดังกล่าวถูกเรียกรวมๆ ว่า “เฟซบุ๊กเปเปอร์” ที่เผยให้เห็นว่า เฟซบุ๊กรับรู้ถึงผลกระทบต่อสังคม เช่น “อินสตาแกรม” ที่ส่งผลเสียต่อเด็กหญิงจำนวนมาก, อัลกอริธึ่มของเฟซบุ๊กที่หวังจะให้ผู้ใช้ได้มีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้นแต่กลับส่งผลให้สร้าง “ความโกรธเกรี้ยว” กับผู้ใช้งาน
เอกสารดังกล่าวเปิดเผยด้วยว่า เฟซบุ๊กไม่ดำเนินการอย่างเหมาะสมหรือถึงขั้นไม่ทำอะไรเลยกับการที่พนักงานชี้เป้าเครือข่ายค้ามนุษย์ กลุ่มยุยงปลุกปั่นให้ก่อความรุนแรงกับชนกลุ่มน้อย กลุ่มค้าอวัยวะ สื่อลามกอนาจาร
หรือแม้แต่การที่รัฐจัดการกับฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง เป็นต้น
แม้เฟซบุ๊กจะออกมาชี้แจงในข้อกล่าวหาต่างๆ อย่างต่อเนื่อง แต่ดูเหมือนว่าวิกฤตด้านการประชาสัมพันธ์ของเฟซบุ๊กในเวลานี้จะยังคงดำเนินต่อไป
ท่ามกลางความกังขาของรัฐบาลหลายๆ ชาติที่มีต่อเหล่าสื่อสังคมออนไลน์มากขึ้น และกำลังหาวิธีออกกฎหมายเพื่อกำกับดูแลการสร้างความเกลียดชัง ข้อมูลบิดเบือน การเหยียดผิว รวมไปถึงสื่อที่ส่งผลกระทบกับเด็ก
เฮาเกนที่ผันตัวมาเป็นนักเคลื่อนไหวอย่างเต็มตัวยังคงเดินหน้าต่อ โดยหลังจากเข้าชี้แจงกับคณะอนุกรรมาธิการวุฒิสภาสหรัฐแล้ว เฮาเกนยังมีกำหนดการทัวร์ยุโรป โดยจะเข้าให้ข้อมูลกับรัฐสภาอังกฤษ มีแผนที่จะร่วมหารือกับเจ้าหน้าที่ของทางการเบลเยียม ฝรั่งเศส และเยอรมนี รวมไปถึงเข้าร่วมการประชุมในกรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกสด้วย
การเดินหน้าท้าชนกับเฟซบุ๊กของเฮาเกนจะดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้น อย่างไรก็ตาม เฮาเกนเคยบอกใบ้ถึงเป้าหมายในภารกิจของเธอในครั้งนี้เอาไว้ในข้อความที่เธอเคยฝากเอาไว้ในระบบภายในก่อนที่จะก้าวเท้าออกมาจากเฟซบุ๊ก
“ฉันไม่ได้เกลียดเฟซบุ๊ก ฉันรักเฟซบุ๊ก ฉันจึงอยากที่จะปกป้องมันไว้” เฮาเกนระบุ