รู้จัก ‘น.1’ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ภารกิจร้อนรับมือม็อบ-เปิดประเทศ

โล่เงิน

 

รู้จัก ‘น.1’ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา

ภารกิจร้อนรับมือม็อบ-เปิดประเทศ

 

พล.ต.ท.สำราญ นวลมา รับตำแหน่ง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลคนที่ 51 เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา

เกิดที่เพชรบุรี เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2516

เจ้าตัวออกตัวว่า ไม่เคยเป็นเด็กวัดโตนดหลวง อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ตามที่สื่อบางสำนักเขียนกัน

เหตุมาจากความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่น้องๆ สื่อมวลชนพูดแซวกัน เพราะเห็นไปวัดบ่อย แต่ไม่ถึงขนาดสายวัดเหมือน พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผช.ผบ.ตร.

สำราญเล่าว่า ตั้งแต่เด็กแล้วจะตามคุณยายไปวัด พอทำงานจะเดินสายทำบุญ ไหว้พระเงียบๆ ลำพัง ทุกสัปดาห์

ส่วนความอ่อนน้อมถ่อมตนนั้น ผู้ใหญ่ก็สอนมาอย่างนี้อยู่แล้ว

เรียนจบโรงเรียนพรหมานุสรณ์ แล้วสอบเข้า ตท.รุ่นที่ 34 นรต.รุ่นที่ 50

เข้าสู่อาชีพผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เนื่องจากว่า คนเมืองเพชรโดยส่วนใหญ่ ถ้ารับราชการมักเป็นตำรวจ เป็นทหาร

ประกอบกันเวลานั้นที่โรงเรียนพรหมานุสรณ์เมื่อเรียนจบกันก็ไปเป็นตำรวจกันหลายคน เลยเดินตามรอยรุ่นพี่แนะแนว

พื้นเพครอบครัวประกอบอาชีพค้าขาย มีพี่น้องสองคน พี่สาวรับราชการครู

จบ นรต.ปี 2540 บรรจุครั้งแรกเป็นพนักงานสอบสวนที่พระโขนง ทำอยู่ 3 ปี

ตอนนั้น พล.ต.ท.วรรณรัตน์ คชรักษ์ เป็น ผบช.น. ได้ทำงานอยู่ในชุดคลี่คลายคดีสำคัญ มีหัวหน้าคือ พล.ต.ต.จักรทิพย์ กุญชร ณ อยุธยา รอง ผบช.น.

จากนั้นไปอยู่ทะเบียนพล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สังกัดงานแต่งตั้งสัญญาบัตร ประมาณ 2 ปี ระหว่างนั้นอยู่สำนักงาน ผบ.ตร.ยุค พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ ด้วย

แล้วขึ้นสารวัตร (สว.) ที่ 191 เป็น สว.งานสายตรวจ 2 เริ่มมีผลงานจับกุม

อยู่สายตรวจ 3 ปีกว่าๆ มาเป็น สวป. สน.บางนา

จากนั้นเป็นรอง ผกก.สืบสวน 3 บก.สส.บช.น. สมัย พล.ต.ต.ฉันทวิทย์ รามสูต เป็นผู้บังคับการสืบสวนนครบาล 1 ปี

กลับถิ่นเดิมเป็นรอง ผกก.สายตรวจได้ 1 ปี แล้วเป็น ผกก.สน.ดอนเมือง

“ผมอยู่ที่นี่มุ่งมั่นพัฒนาโรงพัก 2 ปี จนได้รางวัลดีเด่นอันดับ 2 ผู้บังคับบัญชาชมเชย” บอกอย่างภูมิใจ

กลับมาที่ ผกก.สายตรวจ บก.สปพ. (191) อีก 2 ปี แล้วขึ้นรอง ผบก.สปพ. อัพเก้าอี้เป็น ผบก.

ก่อนสไลด์มารอง ผบช.น. คุมงานด้านกิจการพิเศษ ถวายความปลอดภัย งานในส่วนของกิจการพิเศษ

จน 1 ตุลาคมที่ผ่าน ได้นั่งแม่ทัพคุมเมืองหลวง

 

ถ้าถามว่าตั้งแต่รับราชการมาประทับใจที่ไหนที่สุด พล.ต.ท.สำราญตอบว่า สน.ดอนเมือง

เพราะว่าท้าทายมาก มีทั้งการเมือง ชุมชน อาชญากรรม ครบเครื่อง และงานถวายความปลอดภัย และเป็นพื้นที่ค่ายทหารเยอะมาก

เรียกว่า “ภูบาล” หมายถึง นครบาล+ภูธร เพราะติดหลายท้องที่ไม่ว่าจะปทุมธานี นนทบุรี

ที่บอกว่าประทับใจคือ ได้มุ่งมั่นทำงานจน สน.ดอนเมือง ที่อยู่จากอันดับท้ายๆ จนได้เป็น สน.อันดับที่สอง ซึ่งวัดจากคดีอาชญากรรมที่จับได้หมด ไม่มีคดีค้าง อยู่ได้อย่างอบอุ่น เมื่อผู้บังคับบัญชาไว้วางใจแต่งตั้งก็ทำเต็มที่

“ผมอยู่ดอนเมือง คลุกคลีกับลูกน้อง นอนกับลูกน้อง ไม่กลับบ้าน”

 

พล.ต.ท.สำราญได้ตอบคำถามถึงการรับมือการชุมนุมกลุ่มต่างๆ ที่ประท้วงขับไล่ผู้นำรัฐบาลว่า มีความเห็นต่างกันได้ แต่ต้องไม่ใช้ความรุนแรง

การชุมนุมตอนนี้กฎหมายยังไม่อนุญาต ด้วยสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด มี พ.ร.บ.โรคติดต่อ

แต่ถ้าสถานการณ์ปกติมี พ.ร.บ.ชุมนุม โดยกฎหมายบังคับตำรวจไว้อีกว่า ถ้าชุมนุมโดยสงบ ตำรวจมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัย แต่ถ้าไม่สงบก็เป็นหน้าที่ตำรวจต้องทำให้สงบ ไม่ลุกลามบานปลาย ขอหมายศาล และปฏิบัติตามประกาศสำนักนายกฯ เรื่องเครื่องมือควบคุมฝุงชนในการชุมนุมสาธารณะมี 48 รายการท้ายประกาศ

อีกส่วนหนึ่งถ้าไม่ใช่การชุมนุมแต่เป็นการจราจล ก่อความวุ่นวาย ตำรวจต้องเข้าปราบปรามระงับยับยั้งไว้ให้ได้

“ผมยึดหลักพระบรมราโชบายในหลวงรัชกาลที่ 9 ความว่า เจ้าหน้าที่บ้านเมือง ใครมีหน้าที่อะไรต้องศึกษาหน้าที่ของตนให้ถ่องแท้ เมื่อศึกษาถ่องแท้แล้วเราก็มีหน้าที่ มีสิทธิ์ ต้องทำอย่างไร ไม่ต้องกลัว และถ้าไม่ถูกต้อง ก็ต้องระงับยับยั้ง ไม่ใช่พอมีการชุมนุมเห็นเป็นความวุ่นวายแล้วต้องปราบปราม ต้องแยกแยะและกล้าที่จะทำ” แม่ทัพนครบาลกล่าว

กรณีเนื้อหาการชุมนุมพาดพิงสถาบัน ผบช.น.บอกว่า อยากขอร้องให้ทุกคนทำตามกฎหมาย อย่าดูสิทธิ์อย่างเดียว ให้ดูหน้าที่ด้วย สิทธิ์มีแค่ไหน ทำตามสิทธิ์ แต่การใช้สิทธิ์ของเรามีหน้าที่ ต้องไม่กระทบสิทธิ์ของคนอื่น ต้องทำตามกฎหมาย

 

ส่วนภารกิจเตรียมตัวรับการเปิดประเทศ 1 พฤศจิกายนนี้ ในส่วนกรุงเทพมหานครที่เป็นเมืองหลวงนั้น ได้เตรียมกำลังพลไว้ส่วนหนึ่ง ถ้าการชุมนุมก่อความไม่สงบลดน้อยลง ตำรวจจะมีกำลังพลมาดูแลนักท่องเที่ยว แต่ถ้ายังมีการชุมนุมก็ต้องเฉลี่ยกำลังไปดูในส่วนนี้ด้วย

เพราะฉะนั้น ต้องบาลานซ์ทั้งการดูแลม็อบและนักท่องเที่ยว

บช.น.ต้องสนองนโยบายรัฐบาลให้ได้ เพราะธุรกิจท่องเที่ยวขับเคลื่อนประเทศ ตำรวจก็ต้องรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยวด้วย

ส่วนอายุราชการที่เหลืออีก 12 ปีนั้น ไม่ได้รู้สึกว่าต้องทำงานแบบรักษาเนื้อรักษาตัวเลย

“ผมก็เป็นอย่างนี้ ก็อยู่ของผมอย่างนี้ เกร็งไปทำให้ไม่กล้า อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดไปตามสภาพ ผมไม่ได้คิดว่าต้องรักษาเนื้อรักษาตัวอะไรขนาดนั้น”

เจ้าของรหัส “น.1” ขมวดปมทิ้งท้ายว่า ทำหน้าที่ของเราวันนี้ให้ดีที่สุด เพราะพรุ่งนี้ไม่รู้จะได้ตื่นหรือเปล่า