ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 22 - 28 ตุลาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ |
เผยแพร่ |
เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
ภูมิพิเศษของคนพิเศษ
หอศิลป์ กทม. ตรงสี่แยกปทุมวัน มักมีอะไรดีๆ ให้เราได้ดู ได้คิดอยู่เสมอ
อย่างเช่นวันนี้ และว่าต่อไปอีกหกเดือนเป็นนิทรรศการงานศิลปะของผู้มีลักษณะพิเศษที่เรียกว่า ออทิสติก แต่มีความสามารถสร้างสรรค์งานศิลปะหลากหลาย เช่น จิตรกรรม หัตถศิลป์ ประติมากรรม
เฉพาะเดือนตุลาคมนี้ นอกจากงานศิลปะหลากหลายแล้วยังมีบทกวีบนผืนผ้า กับมีหนังสือเล่มน้อยรวมบทกวีชื่อ “คนเศร้าเล่าบันทึก” ซึ่งจะเขียนถึงในบทความนี้
งานดังกล่าวจัดโดยคณะองค์กรหลากหลาย มีองค์กรหลักคือ เดอะเรนโบว์รูม ร่วมกับหอศิลป์ กทม.
งานกวีนี้น่าสนใจ ด้วยรวมความรู้สึกนึกคิดของผู้มีลักษณะพิเศษไว้ให้เราได้เข้าใจและเห็นใจ
ปัจจุบันฉันเรียนจบอุดมศึกษา
ฉันค้นคว้าทำตามฝันอยู่เสมอ
แม้ความฝันฉันอาจจะไม่เลิศเลอ
แต่พวกเธอมันทำให้ใจฉันทน
นี้คือกลอนบทหนึ่งในจำนวนราวสองร้อยบทของหนังสือชื่อ “คนเศร้าเล่าบันทึก” ผู้แต่งใช้นามปากกาน่ารักว่า “แร็คคูน ข้างเดียว” แร็คคูนหมายถึงตัวแร็คคูนนะ ตัวแร็คคูนที่น่ารักนั่นน่ะ
เธอเป็นโรคที่เรียกว่า “ซึมเศร้า” มาตั้งแต่เด็ก และเป็นออทิสติก
ความรู้สึกเพียงนึกรู้ฉันอยู่นี่
แต่ไม่มีที่นึกรู้ว่าอยู่ไหน
ที่แคบนิดบิดตัวหน่อยผล็อยหลับไป
ตื่นมาใหม่ไยฉันยังเหมือนครั้งเดิม
เธอแบ่งเนื้อหาเป็นบท ทั้งหมดมีเก้าบท “ความรู้สึกเพียงนึกรู้ฉันอยู่นี่” นี้เป็นกลอนบทแรกของบทที่ 1 ชื่อ “เมื่อครั้งยังทารก” แล้วไล่ไปเรื่อยตามช่วงวัยศึกษา เริ่มแต่อนุบาลจนจบอุดมศึกษา ที่เธอให้ชื่อบทนี้ดีนัก คือชื่อ
สังคมในอุดมศึกษา ที่ไม่ใช่สังคมในอุดมคติ
แต่เธอก็ศึกษาจนจบตามความใฝ่ฝัน ดังวรรคสามของบทต้นที่ว่า
“แม้ความฝันฉันอาจจะไม่เลิศเลอ
แต่พวกเธอมันทำให้ใจฉันทน”
สมดังโวหารว่า “อย่าทำลายความใฝ่ฝันของคนหนุ่มสาว” ซึ่งแม้แต่เด็กลักษณะพิเศษเช่นเธอ ไม่เฉพาะความใฝ่ฝันเท่านั้นที่เธอมี หากยังค้นพบอัจฉริยภาพทางกาพย์กลอน อันเธอมีไม่แพ้ใครอยู่ด้วย
นี่คือภูมิพิเศษที่แสดงถึงความเป็นตัวเธอ
ผู้เป็นออทิสติกนั้นมักมีลักษณะ “ภูมิพิเศษ” อยู่ในตัวแทบทุกคน ซึ่งแตกต่างกันไป เช่น บางคนมีความสามารถทางดนตรี หรือทางศิลปะสาขาใดสาขาหนึ่ง
ผู้ปกครอง ครู และเพื่อน พร้อมสิ่งแวดล้อมเท่านั้นที่จะค้นพบและสนับสนุนส่งเสริมให้ “ภูมิพิเศษ” นี้ได้ปรากฏเป็นคุณค่าคนอันหาได้ยากยิ่ง แม้ในคนปกติโดยทั่วไป
แร็คคูนเขียนกลอนเผยความทรงจำวัยทารกว่า
สิ่งที่ฉันมั่นยึดถือคือร้องไห้
จดจำได้แสดงออกบอกโลกกว้าง
ฉันเรียนรู้ดูจากกรรมที่อำพราง
น้ำตาสร้างวางตัวฉันอย่างฉันเป็น
อีกบทเช่น
คนบางคนทนอดนอนตอนฉันหลับ
ฉันขยับเธอเขยิบกระเถิบหา
เธอให้ฉันปันซึ่งรักกรุณา
เธอนั้นหรือคือเมตตาค่างดงาม
ใครเล่าหนอจะมี “เมตตา” ถึงปานนี้หากไม่ใช่พ่อ-แม่ผู้บังเกิดเกล้า
นักจิตวิทยาว่า “ความรักความอ่อนโยน” ที่พ่อ-แม่มีให้ลูกนี้สำคัญนัก สำคัญทั้ง “ความรัก” และ “ความอ่อนโยน” คือการโอบอุ้ม ประคับประคอง และกกกอดให้ผิวกายได้สัมผัสกันมาแต่ทารกจนเติบโตนี่แหละคือสิ่งที่เป็น “ความอ่อนโยน”
หากเด็กขาดสิ่งเหล่านี้ เขาก็จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่หยาบกระด้าง หาไม่ก็มักแสวงหาสิ่งที่ขาดเอาอย่างไม่รู้จบสิ้น
นอกจากกาพย์กลอนแล้ว แร็คคูนเธอยังชอบเขียนรูปดังภาพประกอบในเล่มที่เป็นฝีมือเธอล้วนๆ ดังเธอถ่ายทอดไว้ว่า เมื่ออยู่อนุบาลนั้น ครูสอนให้เธอหัดเขียนตัวอักษร ซึ่งเธอก็
ฉันลงมือถือดินสอไม่รอท่า
ผลที่ได้ที่ออกมาพาฉันเขิน
เปรียบดังปลามาวิ่งเต้นเล่นหัดเดิน
ฉันเขียนเพลินแต่เขียนผิดคิดงุนงง
ภาพตัวอักษรที่เธอ “เขียนเพลินแต่เขียนผิด” ดังนำมาเป็นภาพประกอบนี่แหละ คือบันไดขั้นต้นของบรรดากาพย์กลอนทั้งหมดในเล่มนี้ของเธอ
นี้คือ “บันไดกวี”
เมื่อขึ้นชั้นมัธยม วัยเปลี่ยน เพื่อนเปลี่ยน เธอบันทึกความรู้สึกตอนหนึ่งว่า
ไร้ตัวตนไร้คนใดใคร่มองเห็น
เช้าจรดเย็นไม่เว้นวันไม่หรรษา
ฉันโดดเดี่ยวไร้เรี่ยวแรงแลโรยรา
ปรารถนาหามิตรแท้ดูแลใจ
แล้วเธอก็ถูกพาเข้าโรงพยาบาล
ฉันถูกพามาที่โรงพยาบาล
ที่กล่าวขานว่ารักษาโรคจิตหาย
ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่ฉันอยากตาย
ใจวุ่นวายกายพาหนีไม่รีรอ
พญามารคงคล้ายคล้ายพยาบาล
ในไม่นานฉันถูกจับมัดจนหงอ
ตัวฉันดิ้นสะบัดหน้าน้ำตาคลอ
ญาติแม่พ่อกลับบ้านไปไม่ลากัน
ประสบการณ์โหดอย่างนี้มีจริง น่าชื่นชมที่เธอผ่านมันมาได้ กระทั่งนำมาเจียระไนเป็นกาพย์กลอนฉายสะท้อนสะท้านความรู้สึกได้ถึงปานนี้
คือเรื่องจริงจากหัวใจได้เปิดเผย
ไม่ละเลยเปิดเพื่อรู้ดูให้เห็น
คงไม่ยากลำบากจิตคิดลำเค็ญ
เปิดประเด็นความจริงใจให้ทุกคน
หนังสือ “คนเศร้าเล่าบันทึก” เล่มน้อยนี้ ยิ่งใหญ่นัก ด้วยมันสะท้อนภาพความรู้สึกด้วยบทกวีที่ช่วยเยียวยาให้ไม่เฉพาะเธอผู้เขียนเท่านั้น หากมันได้ฉายภาพชีวิตของสังคมวงกว้างให้เราได้เห็นในอีกหลายแง่มุมนัก
นอกจากบทกวีนี้แล้ว ยังมีงานศิลปะอีกหลากหลายจากฝีมือของผู้มีคุณสมบัติที่เป็น “ภูมิพิเศษ” เหล่านี้ซึ่งจัดแสดงเป็นนิทรรศการชื่อ “สาระภัณฑ์ภาษา” ณ หอศิลป์ กทม. ปทุมวัน ซึ่งมีถึงสิ้นเดือนตุลาคมนี้เท่านั้น จะได้รู้ว่า
เราเองก็เป็นเช่นกัน