ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 29 ตุลาคม - 4 พฤศจิกายน 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | หลังลับแลมีอรุณรุ่ง |
ผู้เขียน | ธงทอง จันทรางศุ |
เผยแพร่ |
หลังลับแลมีอรุณรุ่ง
ธงทอง จันทรางศุ
‘เก้าเดือน’ แห่งความทรงจำ
เผลอตัวไปเพียงแค่วูบเดียว ปฏิทินตั้งโต๊ะตรงหน้าผมก็เปลี่ยนเป็นเดือนพฤศจิกายนเสียแล้ว
เดือนตุลาคมผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยมีกิจกรรมรื้อฟื้นความทรงจำหลากหลาย แต่ละคนต่างมีความทรงจำที่แตกต่างกัน
สำหรับผมเองแล้วเดือนตุลาคมในอดีตมีอะไรให้จดจำหลายอย่าง
มีทั้งเรื่องราวที่เป็นความสุขและความทุกข์ตามธรรมดาของสามัญมนุษย์
แต่วันนี้จะขออนุญาตหยิบยกขึ้นมาทบทวนความทรงจำของตัวเองสักเรื่องหนึ่ง
นั่นคือความทรงจำที่ผมบันทึกไว้ในสมองว่า เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม พุทธศักราช 2540 ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญที่เรียกกันโดยทั่วไปว่ารัฐธรรมนูญฉบับปี 2540
ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่ผมมีส่วนเกี่ยวข้องมากกว่าฉบับอื่นๆ ในบรรดามีของประเทศไทย
ทุกท่านย่อมทราบดีอยู่แล้วว่าเมืองไทยของเราใช้รัฐธรรมนูญสิ้นเปลืองยิ่งกว่าประเทศทั้งหลายเป็นอันมาก
ส่วนสาเหตุเกิดขึ้นจากอะไรนั้นไม่ต้องพูดมากให้เปลืองน้ำลาย เอาแต่เพียงว่าเรารู้กันอยู่ก็แล้วกัน ฮา!
เมื่อเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เวลานั้นผมเป็นนิสิตชั้นปีที่หนึ่งในคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กำลังเรียนทั้งวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญและวิชากฎหมายเลือกตั้งอยู่ทีเดียว
การร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ต่อมาได้มีการประกาศใช้ในปี 2517 จึงเป็นเรื่องตื่นเต้นมากสำหรับผม
ผมขวนขวายไปนั่งฟังการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวหลายรอบ วันไหนไม่ได้ไปสภาก็นั่งฟังวิทยุอยู่กับบ้าน
สิ่งที่ได้ฟังและรับรู้จากการอภิปรายช่วยเติมเต็มความเข้าใจของผมเกี่ยวกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญให้กว้างขวางออกไปมากกว่าที่ได้เรียนในชั้นเรียนหรือหาอ่านจากหนังสือต่างๆ และน่าจะเป็นอานิสงส์ให้ผมได้คะแนนสอบวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญตอนปลายภาคถึงร้อยละ 93 และเป็นคะแนนสูงสุดของนิสิตรุ่นเดียวกัน
แต่ผมไม่เคยนึกฝันเลยว่าอานิสงส์จะส่งผลรุนแรงให้ผมกลายเป็นคนหนึ่งที่ช่วยเขียนรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ในเวลาต่อมา
เหตุการณ์เดือนพฤษภาคมพุทธศักราช 2535 ทำให้เกิดความรู้สึกความเข้าใจขึ้นในหมู่ประชาชนว่า น่าจะถึงเวลาแล้วที่จะยกเครื่องใหญ่เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญที่ต้องตรงกับความต้องการของประชาชนเสียที น่าจะหมดยุครัฐธรรมนูญที่ผู้ใหญ่ผู้โตเขียนตามใจปรารถนาของท่านแล้วเราก็ต้องเดินตามที่ท่านบงการเสียที
ความคิดเช่นนี้เองทำให้เกิดการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญและมีการจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นจากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติมในตอนปลายปี 2539
สภาร่างรัฐธรรมนูญคราวนั้นมีสมาชิกจำนวน 99 คน โดยแบ่งเป็นสองจำนวน 76 คนแรกมาจากจังหวัดต่างๆ จังหวัดละหนึ่งคน
เหลือเศษอีก 23 คน เป็นนักวิชาการหรือผู้มีประสบการณ์ในด้านรัฐศาสตร์ ด้านนิติศาสตร์และด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ด้านละ 7-8 คน
สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือเรียกชื่อโดยย่อว่า ส.ส.ร. ที่มาจากจังหวัดต่างๆ นั้นใช้วิธีให้คนที่มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีไปสมัครแล้วเลือกกันเองให้เหลือ 10 คน แล้วส่งบัญชีรายชื่อ 10 คนนั้นมาให้รัฐสภาซึ่งประกอบด้วยวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร เลือกรอบสุดท้ายให้เหลือจังหวัดละหนึ่งคน
ส่วน ส.ส.ร.ประเภทผู้ทรงคุณวุฒินั้น มีการเสนอชื่อมาจากสภามหาวิทยาลัยต่างๆ แล้วให้รัฐสภาเลือกให้เหลือจำนวนเท่าที่ต้องการสำหรับแต่ละด้าน
จับพลัดจับผลูอย่างไรไม่ทราบ ผมได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูนในฐานะนักวิชาการด้านนิติศาสตร์ด้วยคนหนึ่ง
กว่าสภาร่างรัฐธรรมนูญจะได้เริ่มทำหน้าที่เป็นจริงเป็นจังก็น่าจะตกเข้าต้นเดือนมกราคม 2540 แล้ว หักกลบลบหนี้กับวันที่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญซึ่งอยู่ต้นเดือนตุลาคม 2540 นั่นหมายความว่าผมได้ทำงานในหน้าที่ดังกล่าวอยู่ประมาณเก้าเดือน
ระยะเวลาไม่นานเลยครับ แต่มากด้วยความทรงจำ
ความทรงจำข้อแรกที่แม่นยำที่สุดคือ การจัดทำรัฐธรรมนูญคราวนั้นผู้คนตื่นเต้นสนใจกันมาก
สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญก็ตั้งใจที่จะรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างเอาจริงเอาจัง
เมื่อได้รับฟังความเห็นแล้วก็มานึกคิดตรึกตรอง ว่าควรเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญหรือไม่ อย่างไร
บรรดาสมาชิกที่มีจังหวัดต้องรับผิดชอบของแต่ละคนต่างไปจัดตั้งคณะกรรมาธิการทั่วทุกจังหวัด จังหวัดละหนึ่งคณะ
นี่หมายความว่าเฉพาะคนที่เป็นกรรมาธิการก็มีจำนวนร่วม 1,000 คนเข้าไปแล้ว
แต่ละจังหวัดจัดกิจกรรมรับฟังความคิดเห็นโดยช่องทางต่างๆ และบ่อยครั้งที่เชิญสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญประเภทไม่มีจังหวัดแบบผมออกไปร่วมกิจกรรมด้วย
ครั้งนั้นเองเป็นโอกาสที่ผมได้เดินทางไปเกือบทั่วเมืองไทยหรือเกือบครบทุกจังหวัด แต่ไม่ได้ไปเที่ยวนะครับ หลายครั้งเป็นการเดินทางแบบไปเช้า-เย็นกลับ หรือไปเย็นวันนี้กลับบ่ายวันพรุ่งนี้
เดินทางแบบนี้ ผมไม่ได้เห็นทะเลสวย ภูเขาสูงหรือวัดวาอารามศักดิ์สิทธิ์ แต่ได้เห็นหัวใจและความปรารถนาของคนตามจังหวัดต่างๆ ที่ฝันว่ารัฐธรรมนูญจะสามารถทำให้ชีวิตของเขามีคุณภาพดีขึ้น จะทำให้มีรัฐบาลคุณภาพและเป็นรัฐบาลที่เขาเป็นเจ้าของ
หลายเรื่องที่ผมฟังแล้ว ผมบอกกับตัวเองว่าความทุกข์ยากเรื่องนี้คงไม่ได้เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญโดยตรงเป็นแน่ เพราะรัฐธรรมนูญไม่ใช่หนังสือสารานุกรมที่จะบันทึกข้อเท็จจริงทุกอย่างเอาไว้
แต่ถ้าเราสามารถเขียนกติกาของรัฐธรรมนูญให้ดีพอ เราจะได้คนที่เข้ามาแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ในที่สุด
เมื่อมานึกย้อนวันเวลากลับไปแล้ว เก้าเดือนเศษของการทำหน้าที่สำคัญดังกล่าว ผมได้รับความรู้และประสบการณ์มากมายไม่รู้จบ จากการเดินทางไปทั่วทุกถิ่นของเมืองไทยและได้จับเข่าคุยกับคนจำนวนมากอย่างที่ไม่เคยมีโอกาสมาก่อน
ความทรงจำเรื่องที่สอง คือประสบการณ์หรือบทเรียนที่ได้รับรู้ว่า การทำงานนิติบัญญัตินั้นไม่มีใครตามใจตัวเองได้เต็มร้อย ขึ้นชื่อว่าเรื่องของการเมืองแล้วย่อมมีการต่อรอง ผลัดกันได้ผลัดกันเสีย
ถ้าได้มากแล้วก็อาจต้องยอมเสียบ้าง จะได้ทุกอย่างไปเสียทั้งหมดไม่ได้หรอกครับ
ยกตัวอย่างให้เห็นชัดเจนสักเรื่องหนึ่ง เรื่องมีอยู่ว่า สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากจังหวัดต่างๆ นั้นส่วนมากถ้าไม่เป็นครูก็เป็นทนายความ ถ้ากลับไปพลิกดูรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 จะพบว่ามีบทบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องการศึกษาและเรื่องของกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เกี่ยวกับการดำเนินการในคดีอาญาเพิ่มขึ้นกว่ารัฐธรรมนูญฉบับก่อนหน้านั้นเป็นอันมาก
ว่ากันโดยหลักวิชาแล้ว บางเรื่องควรจะไปเขียนไว้ในกฎหมายประมวลวิธีพิจารณาความอาญามากกว่ามาอยู่ในรัฐธรรมนูญ
ผมซึ่งเป็นคนไม่มีจังหวัดสังกัด ถ้าลุกขึ้นพูดโพล่งอย่างนั้น ในทางการเมืองหรือในการทำงานร่วมกันในสภาผมได้อะไรบ้างล่ะครับ นอกจากการเสียมิตรและได้ศัตรู
ทางที่ดีผมจึงต้องบอกกับตัวเองว่า การเขียนแบบนั้นถึงแม้จะไม่ถูกหลักวิชาที่เรียนมาในห้องเรียน แต่ก็ไม่ได้เป็นการเสียหายอะไรถึงล้มถึงตาย
ตรงกันข้ามกลับจะเป็นประโยชน์ให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในเรื่องของการศึกษาและกระบวนการยุติธรรมด้วย
ถึงแม้จะผิดที่ผิดทางไปหน่อยก็ตาม
ยิ่งไปกว่านั้น การที่ผมวางเฉยเสีย ผมยังได้แนวร่วมที่จะสนับสนุนในบทบัญญัติอีกหลายมาตราที่ผมเห็นว่ามีความสำคัญและต้องเดินหมากทางการเมืองให้ได้มา
ตัวอย่างเช่น ระบบปาร์ตี้ลิสต์ซึ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกแต่ยากต่อความเข้าใจของคนทั้งหลาย ต้องโอ้โลมปฏิโลมกันอยู่นานครับกว่าจะเป็นที่ยอมรับ
การเมืองทุกยุคทุกสมัยและทุกประเทศเป็นเรื่องของการต่อรองผลประโยชน์ทั้งสิ้น ข้อสำคัญอยู่ที่ว่าผลประโยชน์นั้นเป็นประโยชน์ส่วนรวมหรือเป็นประโยชน์ของใครโดยเฉพาะ ข้อจำแนกว่าอะไรดีอะไรเลวอยู่ตรงนี้นี่เอง
รัฐธรรมนูญฉบับที่ผมได้ช่วยทำคลอดเมื่อเดือนตุลาคม 2540 แม้จะไม่ใช่รัฐธรรมนูญฉบับที่สมบูรณ์แบบเลอเลิศ แต่ผมสามารถเป็นพยานยืนยันได้ว่ากระบวนการยกร่างนั้น เปิดกว้างและประชาชนมีส่วนมีเสียงในการติชมตลอดเวลา การทำงานทุกขั้นตอนเหมือนมีไฟฉายส่อง ต้องยืนอยู่กลางที่แจ้งเสมอ
ถ้ารัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว จะมีโอกาสได้ใช้งานยาวนานและมีการแก้ไขเพิ่มเติมไปตามเหตุผลที่ควรจะเป็นในวาระต่างๆ ผมเชื่อว่าเมืองไทยของเราจะได้ประโยชน์ยิ่งกว่าการฉีกรัฐธรรมนูญฉบับนั้นทิ้งเสียเมื่อเดือนกันยายน 2549 เป็นไหนๆ
ข้อเขียนของผมวันนี้มีข้อสรุปเพียงคำเดียวครับ
เฮ้อ