พิธา-ก้าวไกล ลุยระดับชาติ ท้าชน ‘ช้างอุ้ยอ้าย-เสือนอนกิน’ ธนาธร-ก้าวหน้า รุกปักธง ‘ท้องถิ่น’/บทความในประเทศ

บทความในประเทศ

 

พิธา-ก้าวไกล ลุยระดับชาติ

ท้าชน ‘ช้างอุ้ยอ้าย-เสือนอนกิน’

ธนาธร-ก้าวหน้า

รุกปักธง ‘ท้องถิ่น’

 

ถึงแม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปฏิเสธหลายครั้งถึงการยุบสภา เลือกตั้งใหม่

แต่การออกมาขยับของแต่ละพรรคการเมืองทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน กลับเสมือนการส่งสัญญาณรัวกลองพร้อมรบได้ทุกเมื่อ แต่ละพรรคประกาศเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีกันเกรียวกราว

บรรดาแม่ทัพ-ขุนพลพรรคจัดทัพเดินหน้าลงพื้นที่เปิดนโยบาย เช็กเรตติ้ง อาศัยจังหวะประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาอุทกภัยในหลายพื้นที่ ออกเดินสายช่วยเหลือ แจกข้าวของ หาเสียงตุนคะแนนกันคึกคัก

โดยเฉพาะพรรคหลักๆ ไม่ว่าพลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย เพื่อไทย

และที่น่าจับตาคือพรรคก้าวไกล ใต้การนำของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ นักการเมืองหนุ่มคนรุ่นใหม่ไฟแรง ซึ่งประกาศตัวพร้อมเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคในการเลือกตั้งครั้งหน้า

นายพิธาและพรรคก้าวไกล ระดมขุนพล ส.ส.จัดคาราวานลงพื้นที่ภาคอีสานหลายจังหวัด แสดงความพร้อมสู้ศึกเลือกตั้งระดับชาติ

คู่ขนานไปกับคณะก้าวหน้า ที่มีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นำขุมกำลังเดิมจากอดีตพรรคอนาคตใหม่ รุกปักธงระดับท้องถิ่น ในการเลือกตั้งนายกและสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ที่จะมีขึ้นวันที่ 28 พฤศจิกายน

แม้จะเป็นสนามท้องถิ่น แต่ผลเลือกตั้ง อบต.จะเป็นเครื่องชี้วัดสำคัญ สะท้อนถึงสนามเลือกตั้งระดับชาติ

จังหวะของพรรคก้าวไกลและคณะก้าวหน้า จึงเป็นการเดินหมากการเมืองแบบคู่ขนาน แบ่งบทบาทสอดประสาน ก้าวไกลลุยศึกเลือกตั้งระดับชาติ ก้าวหน้าลุยศึกเลือกตั้งท้องถิ่น

1 พรรค 1 คณะ จะก้าวไปข้างหน้าได้ไกลขนาดไหน น่าจับตา

 

“จะเป็นนายกรัฐมนตรีต้องชนะใจคนอีสาน หากไม่ชนะใจคนอีสานก็เป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้ ที่สำคัญหากไม่สามารถเปลี่ยนภาคอีสานได้ เราก็เปลี่ยนประเทศไทยไม่ได้เช่นกัน” นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าว

นายพิธายังได้ให้สัมภาษณ์ตอนหนึ่งว่า หากแก้ไขเรื่องน้ำแล้ง น้ำท่วม เรื่องที่ดินให้คนอีสานได้ เชื่อว่าจะสามารถชนะใจคนอีสานได้ ทุกเขตสำคัญหมด 116 เขตในภาคอีสาน ตนเองตั้งใจไปให้ครบทุกเขต

ในใจคาดหวังทุกเขต ทุกจังหวัดในภาคอีสาน

พรรคก้าวไกลเลือกศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ (KICE) จ.ขอนแก่น เป็นสถานที่จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปีครั้งที่ 1/2564 มีกรรมการบริหารพรรค ตัวแทนประจำจังหวัด สมาชิกพรรค และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ภาคอีสาน เข้าร่วมราว 500 คน

มีการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคในหลายจังหวัดภาคอีสาน ประกาศพร้อมชิงชัยกับทุกพรรค รวมถึงพรรคแกนนำฝ่ายค้านอย่างเพื่อไทย เจ้าของแชมป์เลือกตั้ง ส.ส.ภาคอีสานหลายสมัย

ครั้งนี้พรรคก้าวไกลมุ่งหมายเจาะพื้นที่อีสานให้ได้ เพื่ออุดช่องโหว่ ส.ส.เขตที่เป็นจุดอ่อนมาตั้งแต่สมัยเป็นพรรคอนาคตใหม่

นายพิธาประกาศด้วยความมั่นใจ ครั้งนี้ก้าวไกลกวาด ส.ส.ภาคอีสานได้แน่ และไม่หนักใจที่ต้องต่อสู้ในสนามเลือกตั้งกับพรรคเพื่อไทย เพราะในระบอบประชาธิปไตยการแข่งขันเป็นเรื่องดี การแข่งขันเชิงนโยบาย ประชาชนเป็นฝ่ายได้ประโยชน์

ในวันนั้น ช่วงบ่ายเป็นการเปิดเวทีปราศรัยนำเสนอนโยบายพรรค ภายใต้ชื่องาน “ก้าวไกล ไปนำแหน่”

นายพิธากล่าวปราศรัยเรื่องแรกคือ “ก้าวไกลสัญจร” ว่า นับตั้งแต่ปิดสภา ตนเดินทางกว่า 3,000 กิโลเมตร จากเหนือสุด จนใต้สุด ไม่เคยเจอไตรวิกฤตอย่างนี้คือ เศรษฐกิจ โควิด-19 และภัยพิบัติ

เหนื่อยใจกับการบริหารวิกฤตของรัฐบาล แต่ก็เกิดความฮึกเหิม ไม่ยอมแพ้กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศ

จากนั้น กล่าวถึง “วิถีก้าวไกล” ระบุ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา พวกเราได้เดินทางไปทั่วประเทศ เห็นถึงปัญหามากมาย ทำให้มองว่าประเทศไทยเหมือนต้องคำสาปห้ามพัฒนา โดยคำสาปห้ามพัฒนาประเทศ เกิดขึ้นจากห่วงโซ่พันธนาการร้อยเข้าด้วยกัน 3 ชั้น

ชั้นที่หนึ่งคือ ปัญหาการขาดเทคโนโลยี เนื่องจากปัญหาการเมืองที่ไม่สามารถสร้างระบบนิเวศน์ที่เอื้อต่อการทำให้บริษัทเทคโนโลยีขั้นสูงให้เกิดขึ้นได้

ชั้นที่สองคือ รัฐราชการรวมศูนย์ที่เป็นเหมือน “ช้างอ้วนอุ้ยอ้าย” เขียนนโยบายอยู่ในห้องแอร์ นั่งทับทุกปัญหาเอาไว้ไม่ให้พัฒนา แล้วดูดซับทรัพยากรเข้าส่วนกลางมากมายมหาศาล

ชั้นที่สามคือ การมีคนบางกลุ่มได้ประโยชน์จากการแช่แข็งประเทศ พันธนาการประเทศไทยให้อยู่ในโครงสร้างที่ตัวเองอยู่บนยอดพีระมิด เป็นเหมือน “เสือนอนกิน” ได้ประโยชน์จากความไม่เปลี่ยนแปลง

ดังนั้น การแก้ปัญหาประเทศไทยจะเอานักบริหารที่เก่งมาทำอย่างเดียวไม่เพียงพอ แต่ต้องใช้ “วิถีก้าวไกล” ที่พร้อมสู้ปัญหาทั้ง 3 ระดับ จัดการกับเสือนอนกิน และระบอบปรสิตกัดกินประเทศคือ นายทุนผูกขาด นักการเมืองท้องถิ่น และรัฐราชการรวมศูนย์

“เราจะต้องมียูนิคอร์นเหมือนประเทศอื่น นำเทคโนโลยีมาใส่ เป็นสิ่งที่ทุกพรรคการเมืองพูด แต่เราต่างจากพรรคอื่นเพราะเรารู้ว่าจะสร้างยูนิคอร์นอย่างไร” นายพิธากล่าว และว่า

พรรคก้าวไกลจะสู้กับช้าง ชนกับเสือ เราจะชนะระบอบนี้ได้ต้องอยู่ที่ทัศนคติ ทุกคนต้องมีทัศนคติเหมือนราชสีห์ ไม่ใหญ่เท่าช้าง ไม่เร็วเท่าเสือ ไม่ฉลาดเท่าลิง แต่มีความสุภาพและเข้มแข็ง อยู่ในใจประชาชน ไม่ใช่อยู่บนหัวประชาชน เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศ

ครั้งนี้เป็นการเดินทางไกลและไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เส้นทางวิถีก้าวไกล ไม่โดดเดี่ยว เพราะไม่ใช่การเดินทางของตนคนเดียว

แต่เป็นการเดินทางของคนธรรมดาทุกคนที่ถูกกดขี่จากความอยุติธรรมในประเทศนี้ ที่สำคัญคือเมื่อเราเริ่มเดินแล้วห้ามหยุดเดิน ไม่มีครั้งไหนเวลาไหนที่เราเดินมาได้ไกลขนาดนี้

สุดท้ายแพ้กี่ครั้งไม่เป็นไร ชนะครั้งเดียวพอ แล้วประเทศไทยจะเปลี่ยนไป

นี่คือการเดินทางไกล ที่บทสุดท้ายคือชัยชนะของประชาชน

 

ขณะที่เส้นทางของคณะก้าวหน้า สู่สนามเลือกตั้งท้องถิ่น อบต.

เป็นอีกความท้าทาย คู่ขนานไปกับพรรคก้าวไกล นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นำทีมจัดกิจกรรม “หนึ่งเสียงเปลี่ยนบ้านเรา เลือก อบต. ก้าวหน้า” ที่ จ.ขอนแก่น เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม คล้อยหลังการประชุมใหญ่พรรคก้าวไกลแค่ 1 วัน

คณะก้าวหน้าแถลงผลความสำเร็จของเทศบาลที่คณะก้าวหน้าสนับสนุน ในวาระบริหารครบ 5 เดือน นายธนาธรยังประกาศส่ง อบต. 210 ทีมทั่วประเทศครบทุกภาค

โดยเฉพาะภาคอีสาน คณะก้าวหน้าส่ง อบต.ลงมากสุด 130 ทีม แสดงถึงการให้ความสำคัญกับการทำงานการเมืองท้องถิ่นภาคอีสาน แต่สุดท้ายทั้งหมดต้องให้ประชาชนเป็นคนตัดสิน แต่สิ่งที่จะทำให้ประชาชนเห็นคือ

ประเทศไทยดีกว่านี้ได้ หากท้องถิ่นดี

บทบาทนำทัพเข้าสู่สนามการเมืองระดับชาติและระดับท้องถิ่น สอดประสานระหว่างนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ทั้งสองโดดเด่นในฐานะนักการเมืองคนรุ่นใหม่ไฟแรง

แต่ก็เป็นอย่างที่นายพิธากล่าวบนเวทีปราศรัย จ.ขอนแก่น เส้นทางนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ตรงกันข้าม ตามรายทางยังต้องเผชิญสิ่งกีดขวางนานัปการ

ทันทีที่นายพิธาประกาศตัวพร้อมชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็ถูกตั้งคำถามถึงเรื่องราวอื้อฉาวในอดีต กรณี “ต่าย ชุติมา” อดีตภรรยา กับประเด็นความรุนแรงในครอบครัว ที่เป็นคดีความขึ้นโรงขึ้นศาล

แม้คดีจะจบลงโดยศาลเยาวชนและครอบครัวกลางมีคำสั่งยกคำร้อง ในเดือนพฤษภาคม 2562

แต่ในทางการเมือง เรื่องดังกล่าวถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงเสมอ โดยเฉพาะหลังจากนี้เป็นต้นไป นายพิธาและพรรคก้าวไกลจะต้องเจอกับคำถามว่ามีนโยบายเรื่องลดความรุนแรงในครอบครัวอย่างไร

เช่นเดียวกับนายธนาธร ถึงจะผ่านมรสุมการเมืองมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ยังไม่หมดสิ้น

ล่าสุด นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ให้ตรวจสอบผู้ก่อตั้งคณะก้าวหน้าในการส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งท้องถิ่น

ว่าอาจเข้าข่ายมีพฤติกรรมเลียนแบบพรรคการเมือง ขัดมาตรา 111 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง หรือไม่

ทั้งที่ตามกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่น ผู้สมัครไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคการเมือง อีกทั้งในความเป็นจริง ไม่มีพรรคการเมืองใดส่งผู้สมัคร มีเพียงบางพื้นที่ส่งผู้สมัครในนามกลุ่ม

กรณีนักร้องศรีสุวรรณ จึงทำให้เกิดคำถามตามมา ว่าเหตุใดจึงมีแต่คณะก้าวหน้าที่ถูกร้อง ทั้งที่ในหลายจังหวัด กลุ่มที่เรียกว่าบ้านใหญ่ ก็ส่งผู้สมัครลงในนามกลุ่มเช่นกัน

 

เหล่านี้คือมรสุมที่ “พิธา” และ “ธนาธร” ต้องเผชิญในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางการเมืองไม่ว่าในระดับชาติ หรือระดับท้องถิ่น

ที่ส่วนหนึ่งเชื่อว่าเป็นผลจากการประกาศตัวเป็นราชสีห์ ท้าชน “ช้างอุ้ยอ้าย” กับ “เสือนอนกิน” ที่กัดกินประเทศมายาวนาน

สุดท้ายใครแพ้-ชนะ ผลออกมาอย่างไร ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสิน