ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ | เส้นทางสู่การเปลี่ยนประเทศ ของก้าวไกลและเพื่อไทย

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกพรรคการเมืองเชื่อว่าประเทศไทยจะมีการเลือกตั้งในอีกไม่นาน

และถึงแม้คำว่าไม่นานของแต่ละคนอาจต่างกัน แต่ที่แน่ๆ คือไม่มีใครเชื่อคำพูดคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าไม่มีการยุบสภาหรือลาออก

เช่นเดียวกับไม่มีใครมองว่าความกระหายอำนาจของคุณประยุทธ์เรื่องอยู่ยาวจะเป็นจริง

คุณประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้อำนาจด้วยปืนจนเจ็ดปีนี้แทบไม่เคยลงพื้นที่เลย แต่จู่ๆ คุณประวิตรที่แก่จนขึ้นบันไดเองไม่ได้กลับขยันลงพื้นที่สัปดาห์ละครั้งอย่างเหลือเชื่อ ส่วนคุณประยุทธ์ที่ลงพื้นที่ครั้งสุดท้ายตอนเอาเวลาหลวงไปหาเสียงช่วงเลือกตั้ง 2562 ก็กระตือรือร้นลงพื้นที่อย่างที่ไม่เคยทำมาเกือบสองปี

ประชาธิปัตย์กับภูมิใจไทยลงพื้นที่มากกว่าสองนายพลที่เข้าสู่อำนาจด้วยปืนมานาน แต่ตอนนี้คุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ และคุณอนุทิน ชาญวีรกูล ลงพื้นที่ถี่ผิดปกติ คุณชวน หลีกภัย ซึ่งไม่จำเป็นต้องลงพื้นที่แล้วก็ลงพื้นที่ด้วย ส่วน ส.ส.พรรคเล็ก ถ้าไม่ลงพื้นที่ก็วางแผนยุบรวมกับพรรคอื่นเพื่อเตรียมรับความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

ต่อให้คุณประยุทธ์จะส่งคุณธนกร วังบุญคงชนะ มายืนยันว่าไม่ลาออกหรือยุบสภา ความรู้สึกว่าคุณประยุทธ์ไปต่อยากก็ทำให้คนเชื่อว่ามีการยุบสภาแน่ๆ เพราะคุณประยุทธ์ไปไหนมีแต่คนด่า โพสต์เฟซยังปิดคอมเมนต์ ส่งทหารไปสกัดเด็กตอนลงพื้นที่ ฯลฯ

ซึ่งสะท้อนว่าแทบไม่มีใครเอาคุณประยุทธ์เลย

ตรงข้ามกับรัฐมนตรีจากพรรคการเมืองที่ลงพื้นที่ได้ปกติ คุณประยุทธ์ถูกประชาชนต่อต้านทุกที่ที่ไป ไม่เว้นแม้แต่พื้นที่รัฐบาลอย่างนครศรีธรรมราช มิหนำซ้ำคนต่อต้านยังไม่ได้มีแต่คนรักประชาธิปไตย แต่ยังมีคนเดือดร้อนจากปัญหาต่างๆ เช่น สมัชชาคนจนที่อุบลราชธานี

ล่าสุดแม้กระทั่งคนขับสิบล้อก็ออกมาคาร์ม็อบให้รัฐบาลแก้นโยบายกองทุนน้ำมันเพื่อให้ราคาดีเซลเหลือลิตรละ 25 บาท แต่แทนที่จะฟังเสียงกระดูกสันหลังของการขนส่งแห่งชาติ รัฐบาลกลับปฏิเสธวันเดียวกับที่ปฏิเสธไม่ช่วยคนงานโรงงานไทรอัมพ์ที่นายจ้างปิดโรงงานแล้วเบี้ยวจ่ายเงิน

แม้รัฐมนตรีพลังประชารัฐจะไม่ถูกต่อต้านอย่างคุณประยุทธ์และคุณประวิตร แต่ความไม่พอใจที่ประชาชนมีต่อคนกลุ่มนี้ก็น่าจะมีไม่น้อย เพราะเมื่อเทียบกับรัฐมนตรีพรรคอื่นๆ รัฐมนตรีพลังประชารัฐกลับซึมซับพฤติกรรมคุณประยุทธ์และคุณประวิตรจนกร่างราวเป็นนายพลเหมือนนาย

คุณสุชาติ ชมกลิ่น มักอ้างว่าตัวเองเป็นลูกจับกังที่ต่อมาเป็นเซลส์ให้ลูกกำนันเป๊าะจนเป็นรัฐมนตรีแรงงาน แต่ในการเจรจาแก้ปัญหาคนงานไทรอัมพ์ที่ตกงานเกือบครึ่งปี คุณสุชาติพูดกับตัวแทนคนงานเหมือนนายพลสั่งพลทหาร หรือไม่ผิดอะไรกับสองนายพลเฒ่าพูดกับประชาชน

ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ประเทศไทยจะเข้าสู่สถานการณ์ของการต้องเลือกว่าจะเอาหรือไม่เอาประยุทธ์เป็นนายกฯ และการเลือกตั้งครั้งหน้าก็จะเป็นการเลือกระหว่างพวก “เอา” หรือพวก “ไม่เอา” จนคุณประยุทธ์กลายเป็นจุดตัดของความขัดแย้งทางการเมืองครั้งใหญ่ในประเทศไทย

คำถามคืออะไรที่จะเป็นข้ออ้างให้คุณประยุทธ์บอกประชาชนว่าต้องเลือกพวกประยุทธ์เข้าไปยึดครองประเทศต่อไป?

ข้ออ้างที่คุณประยุทธ์ใช้หลอกประชาชนตอนรัฐประหาร 2557 คือการ “คืนความสุข”

เช่นเดียวกับข้ออ้างที่คุณประยุทธ์ใช้หลอกตอนเลือกตั้ง 2562 คือ “จบที่ความสงบ”

แต่ถึงตอนนี้คุณประยุทธ์คือสัญลักษณ์แห่งความทุกข์ของคนทั้งประเทศจนการต่อต้านพุ่งและความขัดแย้งลามไปหมดทุกอณู

ด้วยความจริงตอนนี้ คุณประยุทธ์ไม่สามารถหลอกประชาชนเรื่อง “ความสุข” หรือ “ความสงบ” ได้ต่อไป

ซ้ำคุณประยุทธ์ยังเป็นสัญลักษณ์ของความทุกข์, ความสิ้นหวัง และการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างไม่เคยมีนายกฯ คนไหนเป็นแบบนี้ จนนึกไม่ออกจริงๆ ว่าคุณประยุทธ์จะใช้อะไรหลอกประชาชน

ถ้าคุณประยุทธ์จะหลอกประชาชนว่าตัวเองเป็นเหมือนคุณเปรม ติณสูลานนท์ ที่ไม่เก่ง แต่ซื่อ และสร้างความเจริญ ความจริงคือคนไม่น้อยมองคุณประยุทธ์ว่ากะล่อน เอาแต่ได้ ไม่ตรงไปตรงมา ไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจ คนรอบข้างห่วย และไม่มีรัฐมนตรีคนไหนที่เป็นแถวหน้าของประเทศด้านสมองหรือคุณธรรม

อาวุธเดียวที่เหลือให้คุณประยุทธ์ใช้ได้คือ โจมตีว่าทุกคนที่เห็นต่างคือพวกล้มสถาบัน ซึ่งคุณประยุทธ์ก็คงต้องโจมตีแทบทุกพรรค, แทบทุกกลุ่ม และแทบทุกคนที่มีปากเสียงวิจารณ์คุณประยุทธ์ และในที่สุดคนที่คุณประยุทธ์กล่าวหาว่าล้มสถาบันจะเต็มประเทศไทย

เงินเป็นอาวุธที่คุณประยุทธ์มีเหนือทุกพรรคการเมือง ไม่ว่าจะเป็นเงินกลุ่มทุน, เงินรัฐจากการบริหารงบประมาณที่ใช้ไปแล้วกว่า 20 ล้านล้านบาท หรือการซื้อเสียงล่วงหน้าผ่านนโยบายต่างๆ

แต่การใช้เงินในเวลาที่ศัตรูเพิ่มขึ้นทั่วประเทศอาจเป็นใบเสร็จให้คุณประยุทธ์ถูกเช็กบิลย้อนหลังได้เช่นกัน

ภายใต้ความเน่าเฟะที่คุณประยุทธ์ทำกับประเทศตอนนี้ การนำประเทศออกจากคุณประยุทธ์ง่ายนิดเดียว นั่นก็คือการเสนอเข็มทิศหรือ “แผน” ในการนำประเทศที่ปฏิบัติได้จริงๆ จนทุกคนมีความหวังว่าประเทศจะเดินหน้าสู่อนาคตซึ่งไม่มีความทุกข์, ความสิ้นหวัง และการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายต่อไป

ปัญหาคือใครจะเป็นคนพาคนไทยทั้งประเทศออกจากการปกครองของผู้นำที่มีคนรังเกียจมากที่สุดและนับถือน้อยที่สุดในปัจจุบัน

หนึ่งในการเมืองแบบสกปรกของคุณประยุทธ์คือการทำลายคู่แข่งทุกวิถีทาง และในรอบเจ็ดปีที่ผ่านมา คุณประยุทธ์ทำให้คู่แข่งทุกคนหมดบทบาทจากคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สู่คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ การปลดปล่อยประเทศจากขบวนการยึดประเทศของคุณประยุทธ์จึงต้องเป็นคนใหม่หมดเลย

แม้จะมีหลายพรรคชูหัวหน้าพรรคชิงนายกฯ ซึ่งพูดตรงๆ คือการโค่นประยุทธ์โดยบัตรเลือกตั้งและการลงคะแนน

แต่คนที่ดูมีภาษีที่สุดได้แก่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จากพรรคก้าวไกล เพราะพรรคนั้นบอกว่าพิธากระแสดีกว่าธนาธร ซึ่งอีกนัยคือพิธามีโอกาสเป็นนายกฯ กว่าและพรรคมีโอกาสได้ ส.ส.มากกว่าที่ผ่านมา

ก้าวไกลสืบทอดความเป็นอนาคตใหม่ในแง่ที่ทั้งพรรคไม่มีใครเป็น ส.ส.มาก่อน พรรคจึงทำงานด้วยอุดมการณ์ และคนที่เลือกพรรคคือคนที่เลือกอุดมการณ์ซึ่งรัฐมองเป็นฝ่ายตรงข้ามอย่างที่สุด

การเติบโตของก้าวไกลจึงหมายถึงการเติบโตของอุดมการณ์และการต่อต้านอำนาจรัฐตอนนี้โดยสิ้นเชิง

ถ้าคุณประยุทธ์จะกำจัดพิธาและพรรคก้าวไกลเหมือนทำกับธนาธรและอนาคตใหม่ คุณประยุทธ์ก็ต้องระดมไอโอ, นักวิชาการปลายแถว, นักร้อง, นักการเมืองน้ำเน่า ฯลฯ มาโจมตีพิธาและก้าวไกลให้มากที่สุด

แต่ปัญหาคือคนที่คุณประยุทธ์เคยใช้บริการจะมีศักยภาพแค่ไหนในปัจจุบัน

โดยวิสัยของคุณประยุทธ์นั้นต้องใช้อุดมการณ์โจมตีก้าวไกลก่อนใช้กฎหมายปิดเกม สถานการณ์ที่เคยเกิดในปี 2562 จนลุกลามเป็นการพูดทะะลุเพดานในปี 2563 จึงมีโอกาสกลับมาอีกด้วยน้ำมือคุณประยุทธ์ หรือเท่ากับว่าคุณประยุทธ์จะทำให้ประเทศลุกเป็นไฟเพียงเพื่อชัยชนะของตัวเอง

อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณประยุทธ์หาเสียงด้วยการปลุกปั่นอุดมการณ์อย่างที่ทำมาตลอด 7 ปี คะแนนเสียงที่เทให้พรรคก้าวไกลก็น่าจะยิ่งพุ่งกระฉูด

เพราะเท่ากับคุณประยุทธ์ทำให้ก้าวไกลเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านคุณประยุทธ์จนคนไม่น้อยที่อยากต้านประยุทธ์จะไปลงคะแนนให้พรรคก้าวไกล

ปัญหาของก้าวไกลคือ ส.ส.ทั้งพรรคเป็นคนใหม่จนง่ายต่อการถูกโจมตีว่าไม่มีประสบการณ์บริหาร

แต่ถ้าคุณประยุทธ์โจมตีประเด็นนี้ คุณประยุทธ์ก็อาจถูกโจมตีกลับถึงความล้มเหลวในการบริหารประเทศทั้งหมด ไม่ต้องพูดถึงข้อเท็จจริงที่รัฐมนตรีทุกคนล้วนไม่เคยเป็นรัฐมนตรีมาก่อนเลย

ถ้าจะหมกมุ่นเรื่องพรรคการเมืองต้องมีประสบการณ์บริหาร คนที่เหมาะเป็นนายกรัฐมนตรีที่สุดอาจได้แก่คุณสมศักดิ์ เทพสุทิน เพราะเป็นคนที่ร่วมรัฐบาลทีไรก็ได้เป็นรัฐมนตรีทุกครั้ง

แต่คำถามคือความสามารถในการบริหารขึ้นอยู่กับประสบการณ์และการเคยเป็นรัฐมนตรีจริงหรือ?

หนทางเดียวที่จะสกัดก้าวไกลคือคุณประยุทธ์ต้องแสดงความสามารถในการบริหาร แต่เรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้

การเมืองหลังจากนี้จึงเป็นเรื่องของการเสนอคู่แข่งชิงตำแหน่งนายกฯ ที่ตอบโจทย์การบริหารให้ได้มากที่สุด ไม่ใช่การต่อสู้ทางอุดมการณ์เฉยๆ อย่างที่คุณประยุทธ์ปลุกปั่นตลอดมา

การประกาศแคนดิเดตนายกฯ ของเพื่อไทยเป็นเรื่องสำคัญ เพราะทันทีที่เพื่อไทยประกาศ เกมการต่อสู้เพื่อทวงประเทศจากระบอบประยุทธ์จะเปลี่ยนไปเป็นอีกรูปแบบ

หากเพื่อไทยมีแคนดิเดตที่ตอบโจทย์ทั้งเรื่องอุดมการณ์, เรื่องการต่อต้านระบอบประยุทธ์ และการบริหารในระยะยาว

ในที่สุดแล้วอนาคตทางการเมืองของประเทศขึ้นอยู่กับการวางจังหวะก้าวของเพื่อไทย, ของก้าวไกล และของฝ่ายทหารเฒ่าที่ถ่วงความเจริญประเทศมาแล้วกว่าเจ็ดปี