เปิดๆ ปิดๆ มีแต่สูญเสีย/เหยี่ยวถลาลม

เหยี่ยวถลาลม

 

เปิดๆ ปิดๆ มีแต่สูญเสีย

 

ตั้งแต่รัฐบาล “ยุครัฐประหาร 2557” จนถึงรัฐบาลผสมพันธุ์ “หลังเลือกตั้ง 2562” ยังไม่มีสัญญาณใดที่บ่งชี้ถึงความสำเร็จของ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ในฐานะผู้นำ

ล้มเหลวสิ้นท่าตั้งแต่การจัดการความขัดแย้งในสังคมซึ่งรัฐบาลทหารอวดอ้างความเป็น “คนกลาง” พร้อมกับขอเวลาไม่นานเพื่อสร้างความสมานฉันท์ เหลวไปจนถึง “แผนบริหารจัดการน้ำ” ที่วันนี้ชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำตากับการสิ้นเนื้อประดาตัวของประชาชนที่ต้องเผชิญชะตากรรมซ้ำซาก

วัดมือกันเห็นๆ เมื่อรัฐบาลเผชิญกับวิกฤตจาก “โควิด-19” ระบาดมาตั้งแต่กลางเดือนมกราคมปี 2563 ซึ่ง “ประยุทธ์” เลือกใช้วิธีคิดแบบรวมศูนย์ด้วยการนั่งเป็น “ผอ.ศบค.” เสียเอง พร้อมกับลากเอาประดาผู้ใกล้ชิดมาร่วมกันบงการชีวิตผู้คน ภายใต้ปรัชญาเดิมๆ ขอให้เชื่อและฟัง ยังไม่ต้องถาม

แล้วความสุขความสงบจะกลับคืนมา!

 

แต่ทั้งแนวความคิดและแผนรับมือโรคระบาดของรัฐบาลประยุทธ์ไม่ได้มองการณ์ไกล การลงมือจึงไม่รวดเร็วทันใจเฉกเช่นการจัดซื้อจัดหาอาวุธยุทธภัณฑ์การสงคราม

แนวถนัดของประยุทธ์คือ “การควบคุม” รัฐบาลจึงทำแค่เอากฎหมายออกมาบังคับให้ปิดบ้านปิดเมือง หยุดการเคลื่อนไหวไปมา จำกัดเวลาการใช้ชีวิต ปิดกิจการค้าขาย พร้อมกับโฆษณาไปทั่วว่า ขอให้เชื่อหมอ อย่าเชื่อหมา ไทยจะชนะ เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

คงคาดไม่ถึงว่า ปัญหาจากโลกทัศน์สามารถนำไปสู่ความหายนะได้!

ตลอดทั้งปี 2563 ที่คนไทยติดเชื้อโควิดราว 1 หมื่นคน เสียชีวิตราว 70 คน ทำให้รัฐบาลหลงปลาบปลื้มกับมาตรการ “สั่งปิด” จึงสั่งจองซื้อวัคซีนเอาไว้แต่น้อยนิด เลยมาจนถึงต้นปี 2564 ยังมีหน้าออกมาประกาศว่า โควิดกระจอก เป็นแค่หวัดธรรมดา

ความอหังการบังตาจนประเมินสถานการณ์ผิดและวางแผนบริหารจัดการพลาด พอโควิดระบาดระลอก 2 ระลอก 3 รัฐบาลจึงลนลานรีบสั่ง “ซิโนแวค” เข้ามา ในขณะที่ภาคเอกชนทั้งสภาอุตสาหกรรมและสภาหอการค้ารวมทั้งซีอีโอกว่า 40 บริษัทขนาดใหญ่ก็ร้อนใจขอพบนายกรัฐมนตรี แสดงความประสงค์ยินดีช่วยจัดหาจัดซื้อวัคซีนมาระดมฉีดให้กับแรงงานนับล้านคนในระบบเพื่อปกป้องอุตสาหกรรม เพราะเกรงว่าถ้าช้าไปจะกระทบการส่งออก เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวเดียวที่เหลืออยู่

ถ้าวัคซีนไม่มี หรือมีไม่พอ และฉีดไม่ทัน ภาคส่งออกคงจะแย่แน่ๆ!

แต่รัฐบาลอหังการตอบรับภาคเอกชนเพียงแค่ว่า “ให้คุณไปจัดเตรียมพื้นที่ตามห้างสรรพสินค้าหรือในนิคมอุตสาหกรรมสำหรับฉีดวัคซีน เรื่องจัดซื้อจัดหาไม่ต้องยุ่ง”

 

ตั้งแต่เมษายนมาจนถึงตุลาคม 2564 คนไทยติดเชื้อโควิดพุ่งพรวดจากปีละ 1 หมื่นคน เป็นวันละกว่า 1 หมื่นคน

แต่ในวันที่ 16 มิถุนายน “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ลุกขึ้นมาประกาศสวนทาง “จะเปิดประเทศภายใน 120 วัน”

ครบกำหนดนัดหมายในวันที่ 14 ตุลาคม 2564 จะวางเฉย ไม่มีท่าทีอะไรก็ไม่ได้ เพื่อไม่ให้เสียเชิงชายก็ต้องประกาศใหม่อีกครั้งว่า “จะเปิดประเทศวันที่ 1 พฤศจิกายน”

พฤศจิกายนกับธันวาคม คือ 2 เดือนสุดท้ายของปีที่เป็น “ไฮซีซั่น” ภาคการท่องเที่ยว เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ดับสนิทมา 2 ปี มีโอกาสอีกครั้งตั้งแต่ 1 พฤศจิกายนนี้

แต่สถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ยังไม่ได้ดีขึ้น

เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2564 ยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ยังคงเป็น 11,276 คนต่อวัน และยังมีคนตาย 112 คนใน 1 วัน

ในวันถัดๆ มา ตามจังหวัดต่างๆ อีกครึ่งประเทศก็ยังมีผู้ติดเชื้อตั้งแต่กว่า 100-กว่า 1,000 คนต่อวัน ไม่มีสัญญาณใดที่ชี้ว่าจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทั้งหลายปลอดภัย

แต่ก็มีข้อที่น่าขบคิดว่า ในช่วง 2 สัปดาห์ก่อนถึงวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ “ความเป็นผู้นำ” สามารถสั่งเป็น-สั่งตายได้หรือไม่

 

ใน 2 สัปดาห์ก่อนถึง 1 พฤศจิกายน ผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่แต่ละวัน ไม่ควรเกิน 1 หมื่นคน และตายก็ควรจะต่ำกว่า 100 คน

เช่นนี้ เพื่อความปลอดภัยในการดำเนินชีวิต ทุกคนจำเป็นจะต้องจำแนกแยกแยะระหว่าง “ความจริง” กับ “ความลวง” ให้ออก

การเปิดประเทศ 1 พฤศจิกายน 2564 เปรียบเหมือนเสียบท่อออกซิเจนให้กับธุรกิจที่กำลังจะตาย

“ความจริง” คือสิ่งที่เป็นและเห็นกันอยู่โดยไม่จำเป็นต้องชวนเชื่อ กับ “ความลวง” ซึ่งเป็นคำทั้งปวงที่อวดอ้างโดยไม่มีเหตุปัจจัยที่จะเป็นไปได้

คำประกาศอาจมีเจตนาสร้างภาพลวงตาให้เกิดผลดีทางจิตวิทยาแก่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวภายในประเทศ แต่ “ความจริง” ก็คือนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เป็น “เป้าหมาย” ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวนั้นคงยังไม่เดินทางมาประเทศไทย เนื่องจากเมื่อดูสถิติการฉีดวัคซีนแล้วยังไม่เพียงพอที่จะมั่นใจในความปลอดภัย

เป็นความจริงว่ารัฐบาลประยุทธ์คิดผิดทำผิดกับการรับมือโควิด-19 มาตั้งแต่ต้น และเมื่อรู้สึกตัวก็กลายเป็นเรื่องที่ช้าไป ถึงแม้จะเคยแก้ผ้าเอาหน้ารอดด้วยการสั่ง “ซิโนแวค” มากระหน่ำฉีดให้กับประชาชน แต่เมื่อเวลาล่วงเลยไป 3 เดือนภายหลังการรับวัคซีนซิโนแวคเข็มสอง ผู้คนนับล้านชีวิตต้องวิ่งหาวัคซีนตัวใหม่มาฉีดเป็น “เข็ม 3” เพื่อบูสเตอร์ภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง

ด้วยสติปัญญาของรัฐบาลประยุทธ์ทำให้ “ตัวเลข” การฉีดวัคซีนให้กับคนไทยมากไปด้วยปัญหา!

ใกล้ถึงวัน “เปิดประเทศ” แล้ว กล่าวในเชิง “ปริมาณ” ไทยฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มเลยครึ่งทางของเป้าหมาย (ร้อยละ 70 ของจำนวนประชากร) มาได้แค่นิดเดียว ยังไม่ต้องกล่าวถึง “คุณภาพ” ว่า วัคซีน 2 เข็มที่แต่ละคนได้รับนั้น “ภูมิคุ้มกันหมดสภาพไปแล้วยัง”

การประกาศเปิดประเทศ 1 พฤศจิกายน จึงเป็นไปเพื่อสร้างบรรยากาศคึกคักรับลมหนาวไปจนถึงมกราคม 2565 แต่หลังจากนั้นตัวใครตัวมัน ไม่มีใครรับประกันได้ว่า โควิดระลอกใหม่จะระบาดหนักรุนแรงและยาวนานต่อไปอีกแค่ไหน

จะรู้ก็แต่เพียงว่า เวลาที่ล่วงผ่านมา 7 ปีกับ 6 เดือน ตั้งแต่พฤษภาคม 2557 ถึงพฤศจิกายน 2564 ประเทศชาติกับประชาชนมีแต่สูญเสีย!?!!!