จากสถานะคนทำหนังโฆษณารุ่นใหม่อายุ 30 กลางๆ ที่เข้ามามีส่วนร่วมปฏิรูปเปลี่ยนแปลงวงการภาพยนตร์ไทย ณ ช่วงต้นทศวรรษ 2540 ภายหลังวิกฤตเศรษฐกิจ “ต้มยำกุ้ง”

วันนี้ “เป็นเอก รัตนเรือง” คือ คนทำหนังไทยรุ่นใหญ่เปี่ยมประสบการณ์ ผู้มีอายุ 55 ปี

ผลงานที่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเป็นเอก คือ หนังสารคดีประวัติศาสตร์การเมือง “ประชาธิป”ไทย” (Paradoxocracy) ที่เขากำกับร่วมกับ “ภาสกร ประมูลวงศ์” เมื่อปี 2556

(ไม่นับรวม “แรงดึงดูด” ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่ผลิตขึ้นเพื่อป้อนสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งโดยเฉพาะ)

ปัจจุบัน เป็นเอกมีโปรเจ็กต์หนังยาวอยู่ในมือถึงสองเรื่อง

เรื่องแรกคือ “Samui Song” ที่ถ่ายทำเสร็จมาร่วมสองปีแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ

อีกเรื่องได้แก่ “ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต” ที่ดัดแปลงจากนวนิยายรางวัลซีไรต์ของ “วีรพร นิติประภา” โดยมีอีกหนึ่งผู้กำกับฯ ชื่อดังอย่าง “คงเดช จาตุรันต์รัศมี” มารับหน้าที่เขียนบทภาพยนตร์ และ (ถ้าเข้าใจไม่ผิด) น่าจะเปิดกล้องไปแล้วเมื่อช่วงต้นปีนี้

ล่าสุด ผลงานเรื่อง “Samui Song” หรือในชื่อภาษาไทยว่า “ไม่มีสมุยสำหรับเธอ” ก็ได้ฤกษ์ไปเปิดตัวรอบปฐมทัศน์โลก ที่เทศกาลภาพยนตร์เวนิส 2017 ระหว่างปลายเดือนสิงหาคม-ต้นเดือนกันยายน ศกนี้

โดยหนังถูกคัดเลือกให้เข้าฉายในสายประกวดของเซ็กชั่น “เวนิส เดย์ส” ซึ่งมีสถานะเป็นกิจกรรมอิสระ ที่ดำเนินคู่ขนานไปกับเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิส (รูปแบบคล้ายคลึงกับกิจกรรม “ไดเร็กเตอร์ส” ฟอร์ตไนต์” ในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์)

เป็นเอกยังคงเลือกจะทำงานร่วมกับทีมงานหลักๆ หน้าเดิมที่เขาคุ้นเคย ทั้ง “ชาญกิจ ชำนิวิกัยพงศ์” ในตำแหน่งผู้กำกับภาพ และ “ม.ร.ว.ปัทมนัดดา ยุคล” ในตำแหน่งผู้ลำดับภาพ

ส่วนนักแสดงนำของหนัง ได้แก่ เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์, เดวิด อัศวนนท์, วิทยา ปานศรีงาม และ St?phane Sednaoui

นับเป็นการหวนกลับมาร่วมงานกับเป็นเอกอีกครั้งของ “พลอย เฌอมาลย์” ซึ่งเคยแสดงบทสมบทในหนังเรื่อง “เรื่องรัก น้อยนิด มหาศาล” เมื่อปี 2546

(ยุคที่ผู้กำกับฯ ดัง พยายามทดลองทำงานในแนวทางใหม่ๆ โดยมี “ปราบดา หยุ่น” มาเขียนบทภาพยนตร์ และเปลี่ยนผู้กำกับภาพเป็น “คริสโตเฟอร์ ดอยล์” ตากล้องคู่ใจของ “หว่องกาไว”)

ภาพยนตร์ความยาว 108 นาทีเรื่องนี้ บอกเล่าเรื่องราวของ “วิยะดา” ดาราสาววัยกลาง 30 ที่ต้องแบกรับความกดดันภายในใจมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อ “เจอโรม” สามีมหาเศรษฐีชาวต่างชาติของเธอ ได้ทุ่มเทอุทิศตนให้แก่เจ้าลัทธิความเชื่อ ผู้ถูกเรียกขานว่า “เดอะ โฮลี่ วัน”

วิยะดาจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะตอบโต้สถานการณ์ตึงเครียดซึ่งเกิดขึ้นกับครอบครัว ด้วยวิธีการรุนแรงสุดขั้วถึงขีดสุดเท่าที่เธอจะทำได้ เพื่อความหลุดพ้นจากอิทธิพลของลัทธิประหลาดดังกล่าวอย่างถาวร

ถ้าเข้าใจไม่ผิด นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่ผลงานภาพยนตร์ของเป็นเอกได้รับการคัดเลือกไปฉายในเวนิส หลังจากก่อนหน้านี้ หนังของเขาเคยผ่านเทศกาลใหญ่ๆ อย่างเบอร์ลินและคานส์มาแล้ว

ด้วยความที่ “ไม่มีสมุยสำหรับเธอ” เป็นหนังร่วมทุนสร้างระหว่างสามประเทศ “ไทย-เยอรมนี-นอร์เวย์” นั่นจึงอาจเป็นเงื่อนไขสำคัญข้อหนึ่ง ซึ่งทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องมุ่งแสวงหาเวทีเปิดตัวในต่างแดนก่อนเป็นลำดับแรก

และ “เวนิส” ก็เป็นคำตอบอันเหมาะเจาะลงตัว ก่อนที่หนังจะเดินทางกลับมาหาผู้ชมชาวไทยในลำดับถัดๆ ไป