
ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 15 - 21 ตุลาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศ |
เผยแพร่ |
บทความต่างประเทศ
ค้ายา-อาวุธ-ก่อการร้าย
ความลับดำมืดใต้ผู้ปกครองคิม
เรื่องราวคำบอกเล่าของคนวงในเกี่ยวกับความลับความเป็นไปในดินแดนคอมมิวนิสต์ที่ปิดตัวเองจากโลกภายนอกค่อนข้างจะเด็ดขาดอย่างเกาหลีเหนือ เป็นอีกเรื่องราวที่โลกภายนอกสนใจใคร่รู้
โดยเฉพาะความเคลื่อนไหวของคณะผู้ปกครองเกาหลีเหนือที่อยู่ภายใต้การนำของผู้นำคิมรุ่น 3 นาม คิม จอง อึน ที่ยังคงนำพาประเทศสร้างความหวาดหวั่นพรั่นพรึงให้กับชาวโลกอยู่เป็นเนืองนิจด้วยการโชว์ทดสอบอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธนานาชนิด เป็นการข่มขวัญว่าผู้ใดก็ตามอย่าคิดท้าทาย เพราะจะเผชิญความพินาศได้จากเขี้ยวเล็บที่มีอยู่ของเกาหลีเหนือ
ที่ผ่านมามีผู้แปรพักตร์จากเกาหลีเหนือหลายคนที่ออกมาตีแผ่ความลับอันดำมืดในดินแดนคอมมิวนิสต์แห่งนี้
คิม กุก ซง อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงในหน่วยสายลับเกาหลีเหนือ ซึ่งแปรพักตร์ออกจากเกาหลีเหนือมาอยู่เกาหลีใต้มากกว่า 6 ปีแล้ว เป็นรายล่าสุดที่ยอมมานั่งให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวของสำนักข่าวบีบีซี ถึงความลับด้านมืดภายใต้การปกครองของตระกูลคิม
ที่บีบีซีระบุว่าเป็นครั้งแรกที่มีเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงจากเปียงยางเช่นนี้ยอมมานั่งให้สัมภาษณ์กับสื่อรายใหญ่
“ยาเสพติด อาวุธ และการก่อการร้าย” เป็นประเด็นหลักใหญ่ในบทสัมภาษณ์นี้
คิม กุก ซง อดีตนายทหารยศชั้นพันเอกที่ใช้เวลาถึง 30 ปี ในการไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดในหน่วยงานสายลับอันทรงอิทธิพลของเกาหลีเหนือ กล่าวพาดพิงถึงผู้ปกครองตระกูลคิม โดยที่ตัวเขาเองยอมรับว่าเป็นพวกซ้ายจัดในหมู่ซ้ายนิยมและมีส่วนร่วมอย่างสำคัญในการปฏิบัติภารกิจลับเพื่อผู้ปกครองคิม
คิม กุก ซง บอกเล่าถึงช่วงเวลาในไม่กี่ปีสุดท้ายที่เขายังทำงานอยู่ในหน่วยสายลับที่เป็นหูเป็นตาและเป็นมันสมองของผู้นำเกาหลีเหนือ ก่อนเขาจะหลบหนีออกจากเกาหลีเหนือมาเกาหลีใต้ในปี 2014 นั่นทำให้เขาได้เห็นเส้นทางการก้าวสู่การเป็นผู้นำสูงสุดของคิม จอง อึน ตั้งแต่เริ่มแรกที่คิม จอง อึน ในขณะนั้นเป็นเพียงชายหนุ่มที่พยายามจะพิสูจน์ตัวเองในฐานะ “นักรบ”
การตั้งหน่วยสายลับขึ้นใหม่ของเกาเหลีเหนือ ที่เรียกขานว่า Reconnaissance General Bureau (RGB) ในปี 2009 มีขึ้นขณะที่คิม จอง อึน ถูกเตรียมการให้ขึ้นสืบทอดอำนาจต่อจากคิม จอง อิล ผู้เป็นบิดาที่กำลังประสบปัญหาด้านสุขภาพ
การมีคำสั่งลงมาจากสายบังคับบัญชาให้ตั้งกองกำลังก่อการร้าย เพื่อปฏิบัติการลอบสังหารฮวาง จาง ยอพ ผู้มีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายของเกาหลีเหนือที่แปรพักตร์ไปเกาหลีใต้ตั้งแต่ปี 1997 และยังใช้ดินแดนคู่อริมากล่าวโจมตีผู้ปกครองเกาหลีเหนือนั้น ได้สร้างความเจ็บแค้นฝังใจให้กับตระกูลคิม จนไม่สามารถปล่อยฮวาง จาง ยอพ ให้ลอยนวลได้
คิม กุก ซง บอกว่า ภารกิจเด็ดชีพคนแปรพักตร์รายนี้สำหรับคิม จอง อึน ถือเป็นสิ่งที่จะทำให้ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือซึ่งก็คือพ่อของเขา พึงใจได้ โดยคิม กุก ซง บอกด้วยว่าตัวเขาเองเป็นผู้สั่งการและดำเนินแผนการดังกล่าวด้วยตัวเอง ทั้งยังบอกว่าในเกาหลีเหนือ การก่อการร้ายเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ใช้ในการปกป้องเกียรติภูมิสูงสุดของสองพ่อลูกตระกูลคิม และเป็นสิ่งแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีของทายาทผู้สืบทอดอำนาจที่มีต่อผู้นำสูงสุด
ทว่าแผนการลอบสังหารฮวาง จาง ยอพ กลับเกิดความผิดพลาด!
อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือ ที่ยังมีอีกเหตุโจมตีเรือรบโชนันของเกาหลีใต้ด้วยตอร์ปิโดในปี 2010 ส่งผลให้มีลูกเรือเกาหลีใต้เสียชีวิต 46 นาย และในปีเดียวกันยังมีเหตุเกาหลีเหนือยิงปืนใหญ่ถล่มเกาะยอนพยองของเกาหลีใต้ เป็นผลให้ทหารเกาหลีใต้ 2 นาย และพลเรือนอีก 2 รายเสียชีวิต
คิม กุก ซง ยังเผยให้เห็นสารพัดวิธีที่ผู้นำเกาหลีเหนือจะทำได้ ในการหาเงินเข้ามือ โดยอ้างถึงเมื่อครั้งที่เกาหลีเหนือเผชิญทุพภิกขภัยครั้งรุนแรงในช่วงทศวรรษ 1990 สมัยคิม จอง อิล ปกครอง เขาในขณะนั้นซึ่งทำงานอยู่ในฝ่ายปฏิบัติการ ได้รับคำสั่งให้ระดมเงินเข้ากองทุนเพื่อการปฏิวัติสำหรับผู้นำสูงสุด
การค้ายาเสพติด เป็นแหล่งที่มาของเงินรายได้นั้น ที่คิม กุก ซง เล่าว่าหลังจากได้รับมอบภารกิจ เขาก็ได้พาชาวต่างชาติ 3 คนเข้ามาในเกาหลีเหนือ เพื่อช่วยสร้างฐานการผลิตในศูนย์ฝึกของสำนักงานประสานงาน 715 ของพรรคกรรมกรเกาหลี และทำการผลิตยาเสพติด นั่นคือ ยาไอซ์ ที่ทำให้พวกเขามีเงินดอลลาร์สหรัฐไปมอบให้กับคิม จอง อิล ซึ่งเงินเหล่านี้ยังถูกนำไปใช้ในการสนองความสุขสบายของผู้นำเกาหลีเหนือเองด้วย
รายได้อีกแหล่งหนึ่งยังมาจากการค้าอาวุธผิดกฎหมาย ที่เกาหลีเหนือขายอาวุธและเทคโนโลยีให้กับหลายชาติ รวมถึงอิหร่าน
อีกความลับที่คิม กุก ซง เปิดเผยกับบีบีซีคือ ยุทธศาสตร์ของเกาหลีเหนือในการต่อกรกับเกาหลีใต้เพื่อความได้เปรียบทางการเมือง
หนึ่งในนั้นคือการส่งสายลับแทรกซึมในทำเนียบสีน้ำเงิน อันเป็นทำเนียบประธานาธิบดีของเกาหลีใต้ ซึ่งคิม กุก ซง ระบุว่าภารกิจนี้อยู่ในความรับผิดชอบของเขาด้วย
สายลับรายหนึ่งที่เขาส่งเข้าไปฝังตัวอยู่ในทำเนียบสีน้ำเงินนานถึง 5-6 ปีในช่วงต้นทศวรรษ 1990 โดยสายลับผู้นั้นเดินทางกลับมาเปียงยางได้อย่างปลอดภัย
นั่นเป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าฝ่ายปฏิบัติการของเกาหลีเหนือสามารถแทรกซึมเข้าไปเคลื่อนไหวในองค์กรภาคประชาสังคม ตลอดจนสถาบันหลักของเกาหลีใต้ได้อย่างเนียนๆ
คิม กุก ซง ยังเล่าถึงการใช้ชีวิตเยี่ยงอภิสิทธิ์ชนที่เขาได้รับในระหว่างอยู่ในเกาหลีเหนือ ที่เขาอ้างว่าเขาได้รับอนุญาตให้ใช้รถยนต์ยี่ห้อเมอร์เซเดส-เบนซ์ ของอาหญิงของคิม จอง อึน และสามารถเดินทางไปต่างประเทศได้อย่างอิสระ เพื่อหาเงินกลับเข้ามาให้ผู้นำเกาหลีเหนือ ในขณะที่ชาวเกาหลีเหนือหลายล้านชีวิตต้องต่อสู้กับความอดอยาก
คิม กุก ซง บอกว่า การเกี่ยวดองผ่านการแต่งงานที่ทำให้เข้ามีเส้นสายทางการเมือง แต่ขณะเดียวกันนั้นเส้นสายนั้นก็ทำให้ตัวเขาและครอบครัวตกอยู่ในอันตราย
เหมือนกับอีกหลายคนที่อยู่ในวงใกล้ชิดผู้นำคิม
โดยหลังจากคิม จอง อึน ก้าวขึ้นสู่อำนาจ เขาได้กำจัดคนที่คิดว่าเป็นภัยคุกคามต่อตนเองทิ้ง ซึ่งรวมถึงจาง ซง แท็ก อาเขยของคิม จอง อึน เอง ที่ก่อนหน้านั้นถูกมองว่าเป็นผู้นำเกาหลีเหนือโดยพฤตินัยในช่วงที่คิม จอง อิล มีอาการทรุดหนักก่อนเสียชีวิต โดยจาง ซอง แท็ก ถูกสั่งประหารชีวิตในเดือนธันวาคมปี 2013 ที่คิม กุก ซง บอกว่าข่าวช็อกนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาตัดสินใจหอบครอบครัวหนีมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ในโซลด้วยการทำงานให้กับหน่วยข่าวกรองของเกาหลีใต้
ทั้งหมดเป็นคำกล่าวอ้างส่วนหนึ่งของผู้แปรพักตร์ที่ถ่ายทอดเรื่องราวในเกาหลีเหนือ ที่ทีมข่าวบีบีซีเองออกตัวว่าก็ยังไม่สามารถตรวจสอบความเป็นจริงได้
ฉะนั้น คงต้องใช้ดุลพินิจในการเสพข้อมูลนี้