ระวังไข่กระทบหิน/ลึกแต่ไม่ลับ จรัญ พงษ์จีน

จรัญ พงษ์จีน

ลึกแต่ไม่ลับ

จรัญ พงษ์จีน

 

ระวังไข่กระทบหิน

 

สู้กันมาราธอนยืดเยื้อ “ลึกแต่ไม่ลับ” เกาะติดสถานการณ์ของ “พี่น้อง 3 ป.-พรรคพลังประชารัฐ” มาอย่างต่อเนื่อง 5-6 สัปดาห์เข้าให้แล้ว ยาว ดราม่า บู๊ล้างผลาญ แทงกันไส้ทะลัก เลือดนองเลือดสาด โรแมนติก คิกขุอาโนเนะ ครบทุกรส สดทุกเม็ด สนุกเร้าใจราวกับ “ซีรีส์เกาหลี” ยังไงยังงั้น

ฉบับนี้ อีกแล้วครับท่าน …อันว่า “พปชร.” จาระไนกันตามข้อเท็จจริง กลุ่มที่ “ลงเสาเอก” โปรยดอกไม้มงคล 9 ชนิด ผูกหน่อกล้วย ย้อมผ้าสีแดง ถือสายสิญจน์ โปรยข้าวตอกดอกไม้

ยังจำกันได้ใช่มั้ย ว่าจุดเริ่มต้นคือ “กลุ่มสี่กุมาร” ที่ประกอบด้วย “อุตตม สาวนายน” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง “นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน “นายสุวิทย์ เมษินทรีย์” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และ “กอบศักดิ์ ภูตระกูล” ที่ปรึกษานายกฯ ลูกข่ายก้นกุฏิ เด็กในคาถาของ “เฮียกวง-สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” อดีตรองนายกฯ

“อุตตม” ปรุงแต่งมากับมือ ทั้งผู้ตั้งชื่อ และร่างนโยบายพรรค โลโก้ หลังลงเสาเอก เรียกประชุมเปิดตัวผู้บริหารครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2561 และได้รับฉันทานุมัติให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค เมื่อครั้งยังนั่งเก้าอื้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม “นายสนธิรัตน์” เป็นเลขาธิการพรรค ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

มีกลุ่ม กปปส.เก่า ที่แยกตัวมาจากพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งประกอบด้วย “ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ-นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์-สกลธี ภัททิยกุล-ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์” มาร่วมจอยส์เวนเจอร์

เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน เดินสายตามใบสั่งเชิญหลายกลุ่มร่วมขบวนทัพ กระทั่งได้ “สามมิตร” ของ “สมศักดิ์ เทพสุทิน-สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ-อนุชา นาคาศัย” มาเสริมใยเหล็ก แผ่อาณาจักร ต่อยอดไปภาคเหนือ ดึง “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” “สันติ พร้อมพัฒน์” จากเพชรบูรณ์ ภาคอีสานดึง “กลุ่มนครราชสีมา” ภายใต้การคุมทีมของ “วิรัช รัตนเศรษฐ” ภาคตะวันออก “สุชาติ ชมกลิ่น” แค่สมัยเดียว “พปชร.” แกร่งดุจผนังทองแดงกำแพงเหล็ก ชนะเลือกตั้งด้วยคะแนนรวมเหนือ “เพื่อไทย” นำมาซึ่งเงื่อนไขได้เป็นแกนนำฟอร์มรัฐบาล “ประยุทธ์ 2/1” ทั้งๆ ที่ยอด ส.ส.โดยรวมแพ้ “เพื่อไทย”

“พปชร.” รวมตัวกันแบบเฉพาะกิจ เฉพาะกาล ไม่ได้หล่อรวมจากอุดมการณ์เดียวกัน หลายพ่อพันแม่ เต็มไปด้วยเสือ สิงห์ กระทิง แรด “เขางอก” จากหน้าผากกันทั้งนั้น

ชนะเลือกตั้ง ได้เป็นแกนนำฟอร์มรัฐบาล ก้นหม้อยังไม่ทันดำ “พปชร.” ก็ล่อกันนัว เละตุ้มเป๊ะไปหมด

 

ช่วงโควิด-19 แพร่ระบาดในประเทศระลอกแรก เกิดมหกรรมรุมกินโต๊ะ “กลุ่มสี่กุมาร” โดยยกสถานการณ์โรคร้ายมาเป็นเงื่อนไข อ้างว่าผู้บริหารพรรคทั้ง “อุตตม” และ “สนธิรัตน์” นั่งทอดหุ่ยอยู่บนหอคอยงาช้าง ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ดูแลชาวบ้าน และลูกพรรคที่ได้รับผลกระทบจาก “โควิด-19” ขานรับกันเป็นปี่เป็นขลุ่ยทุกกลุ่ม เพื่อขับเคลื่อนกดดันให้ลาออก

โดยผลักดัน “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกฯ ในฐานะประธานยุทธศาสตร์ มารับตำแหน่งหัวหน้าพรรค พปชร.ตัวจริงแทน “ลุงป้อม” แม้สุขภาพจะไม่แกร่งเต็มถัง ล้นกะละมัง เต็มสูบ

ถนอมเรี่ยวแรงไว้เป่าข้าวต้มตอนเช้าได้ก็ดีถมเถไปแล้ว แต่จำกัดความของคำว่า “อำนาจ” ไม่เข้าใครออกใคร สุดท้ายก็ปฏิเสธชอยส์ที่เปี่ยมไปด้วยความปรารถนาดีไม่ได้ จึงกล้ำกลืนฝีนทนรับตำแหน่งหัวหน้าพรรค

แต่กว่าจะสำเร็จโทษ “อุตตม” ม่อยกระรอก อยู่หมัด ก็เล่นเอาเหนื่อยบักโกรก สามเพลงไม่ตาย โดยดาบแรกที่จะนำมาเป็นแผนเผด็จศึก จะใช้ข้อบังคับพรรคที่ระบุไว้ว่า “หากหัวหน้าพรรคลาออกเพียงคนเดียว ทำให้คณะกรรมการบริหารพรรคพ้นจากตำแหน่งโดยอัตโนมัติ”

แต่ “นายอุตตม” ฮึดสู้ ไม่ยอมลาออก จึงมีการงัดดาบสองมาจัดการ ใช้วิธีการให้กรรมการบริหารพรรคจากที่มีอยู่ 34 คน ลาออกเกินครึ่งหนึ่ง จะเข้าเงื่อนไขกรรมการบริหารพรรคสิ้นสภาพลงทั้งคณะ เข้าเกณฑ์เกินครึ่ง

ซึ่งสามารถรวมพลคนกันเอง ยอดทะลุมากถึง 24 เสียง ส่งผลให้ “นายอุตตม” และคณะ “สี่กุมาร” ต้องแถลงข่าวประกาศไขก๊อกกลางอากาศ อำลาอาลัยไปท่ามกลางความเจ็บปวด จากนั้น “พล.อ.ประวิตร” กระโดดค้ำถ่อมาเป็นหัวหน้าพรรค พปชร.เต็มตัวตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

ขณะที่กาลต่อมา “นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ “นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม แกนนำ กปปส.เก่า ที่เป็นอีกกลุ่มที่เริ่มก่อตั้ง “พปชร.”

ถูกศาลพิพากษาจำคุก ส่งผลให้ต้องพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 160(7) ที่ระบุว่า ไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก แม้คดีนั้นยังไม่ถึงที่สุด หรือมีการรอลงโทษ

2 แกนนำ กปปส.เดินตาม “สี่กุมาร” ไปห่างๆ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2564 กลุ่ม-มุ้ง-ซุ้มต่างๆ ใน พปชร.ยักย้ายถ่ายขบวนกันเป็นว่าเล่น ช่วงหนึ่ง “กลุ่ม 4 ช.” ที่ผนึกกำลังกันระหว่าง “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า-สันติ พร้อมพัฒน์-นฤมล ภิญโญสินวัฒน์-วิรัช รัตนเศรษฐ” ขึ้นหม้อทำท่าจะมายึดหัวหาด โดยมี “ลุงป้อม” คอยเป็นกันชนให้ มีการดีดลูกคิดลางแก้วดูตัวเลขแล้ว น่าจะมีฐานกำลังเกิน 50 ชีวิต

แต่ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ จู่ๆ “ผู้กองธรรมนัส-นฤมล” ที่ถูกยกระดับว่า “สายตรงบิ๊กป้อม” โดน “พล.อ.ประยุทธ์” จัดการปลดออกจากตำแหน่ง หลังศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งล่าสุด

“5 ช.” ที่เกาะกลุ่มกันเหนียวแน่น เลยกลายเป็น “ผึ้งแตกรัง” ยังบินวนหาสนามบินลงไม่ได้ ดูเงื่อนไข รอคอยจังหวะจะเข้าสังกัดกลุ่มไหน

กลุ่มที่โดดเด่น มีอิทธิฤทธิ์ขึ้นมากที่สุดในตอนนี้ คงเหลือแต่ “สามมิตร” ของ “สุริยะ-สมศักดิ์-อนุชา-สุชาติ”

แต่ พปชร.มีอาถรรพ์ กลุ่มไหนขึ้นมามีอำนาจเป็น “เบอร์หนึ่ง” ได้ไม่ทันไร “ไข่ก็ไปกระทบหิน”

“ไข่แตก” สลบเหมือดทุกกลุ่ม ทั้ง “สี่กุมาร-กปปส.เก่า-4 ช.”

จึงต้องมากด้วยความระมัดระวัง