ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 15 - 21 ตุลาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศ |
เผยแพร่ |
บทความต่างประเทศ
‘เลบานอน’ ไฟดับทั่วประเทศ
ปัญหาการเมือง สู่วิกฤตพลังงาน
เมื่อวันที่ 9 ตุลาคมที่ผ่านมา ประเทศเลบานอนต้องตกอยู่ในสภาพมืดมิดไปทั้งประเทศ มีเพียงแสงเล็กๆ จากไฟหน้ารถบนถนน และแสงไฟจากอาคารบางหลังเท่านั้น
ข่าวไฟฟ้าดับทั้งประเทศเป็นเวลานานกว่า 24 ชั่วโมง กลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก เพราะในปัจจุบันปัญหาวิกฤตพลังงานไฟฟ้าที่หนักหนาเท่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นให้เห็นบ่อยนัก ไม่ว่าจะประเทศไหนในโลก ในรอบหลายปีที่ผ่านมา
ปัญหาการผลิตไฟฟ้าได้ไม่เพียงพอกับการใช้งานไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศนี้เป็นครั้งแรก แต่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องหลายปีแล้ว ส่งผลให้การใช้เครื่องปั่นไฟส่วนตัวเป็นเรื่องปกติสำหรับผู้ที่สามารถหาเงินมาจ่ายได้ในราคา “แพงระยับ”
รายงานระบุว่า ในช่วงเวลาปกติในบางสัปดาห์ประชาชนชาวเลบานอนอาจได้ใช้ไฟฟ้าจากเครือข่ายไฟฟ้าของรัฐได้เพียงวันละ 1 หรือ 2 ชั่วโมงเท่านั้น
เหตุไฟดับยาวนานครั้งล่าสุดรายงานระบุว่าเป็นผลมาจากโรงงานผลิตไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ 2 แห่งไม่สามารถผลิตไฟฟ้าต่อไปได้เนื่องจากขาดแคลนน้ำมันที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้า
แม้ไฟฟ้าจะกลับมาใช้งานได้อีกครั้งหลังจากกองทัพบกเลบานอนเสนอส่งมอบน้ำมัน 6 ล้านลิตรเพื่อนำมาผลิตไฟฟ้าอีกครั้ง ส่วนธนาคารกลางปลดล็อกเครดิตมูลค่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้กระทรวงพลังงานนำไปใช้นำเข้าน้ำมันเพิ่มเติม
แต่ก็ยังไม่อาจสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนได้ว่ารัฐบาลจะสามารถหาแหล่งนำเข้าน้ำมันเพื่อนำมาผลิตไฟฟ้าให้เพียงพอจนเกิดเสถียรภาพทางพลังงานได้
นั่นจึงเกิดเป็นคำถามที่ว่า อะไรที่ทำให้เลบานอนเกิดวิกฤตที่กระทบชีวิตประชาชนได้มากขนาดนี้?
ปัญหาไฟดับจากการขาดแคลนน้ำมันเป็นผลโดยตรงมาจากปัญหาเศรษฐกิจในประเทศ โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งทะยาน สกุลเงินปอนด์เลบานอน หรือ “ลีร่า” มีอ่อนค่าลงถึง 90% จาก 1,500 ลีร่าต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2019 อ่อนค่าลงถึง 10 เท่า เป็น 18,900 ลีร่าต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐในตลาดมืดปีนี้
เงินทุนสำรองระหว่างประเทศของเลบานอนลดน้อยลงสู่ระดับที่รัฐบาลไม่สามารถชำระเงินเพื่อนำเข้าน้ำมันสำหรับใช้ในประเทศเพิ่มเติมได้
ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนน้ำมันในประเทศ เกิดเป็นภาพประชาชนต่อคิวกันซื้อน้ำมันที่สถานีน้ำมันยาวเหยียดหลายกิโลเมตร
ด้วยเลบานอนเป็นประเทศที่พึ่งพาพลังงานไฟฟ้าจากพลังงาน “ฟอสซิล” มากถึงกว่า 90% จากการผลิตไฟฟ้าทั้งประเทศ การไม่สามารถนำเข้าน้ำมันจึงส่งผลกระทบกับการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยตรง
ยิ่งกว่านั้นการบริหารงานของรัฐบาลยังซ้ำเติมประชาชนซ้ำไปอีกด้วยการประกาศยกเลิกการอุดหนุนเงินเพื่อตรึงราคาน้ำมัน โดยอ้างว่าการขาดแคลนน้ำมันในประเทศเป็นผลจากการกักตุนน้ำมันและการลักลอบขนน้ำมันไปยังประเทศซีเรีย
การเลิกอุดหนุนราคาน้ำมันส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นถึง 6 เท่าในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา นั่นทำให้ต้นทุนในการใช้นำมันในประเทศ โดยเฉพาะการนำมาปั่นไฟซึ่งเป็นพึ่งสุดท้ายของประชาชนพุ่งขึ้นไปด้วยเช่นกัน
ปัญหาขาดแคลนพลังงานไฟฟ้าสร้างปัญหากับชีวิตประชาชนทั้งที่ต้องประกอบธุรกิจด้านต่างๆ ผู้คนไม่สามารถเก็บอาหารในตู้เย็นได้ สร้างปัญหากับระบบน้ำประปา รวมไปถึงเกิดปัญหาในโรงพยาบาล บางแห่งต้องลดบริการบางอย่างลง เช่น การงดบริการเครื่องฟอกไต รวมไปถึงอาจต้องปิดเครื่องช่วยหายใจ เป็นต้น
โรงพยาบาลบางแห่งต้องเปิดเครื่องปั่นไฟต่อเนื่องนานกว่า 36 ชั่วโมงซึ่งหากเกิดปัญหาจะส่งผลเสียกับผู้ป่วยโดยตรง ขณะที่ต้นทุนในการใช้เครื่องปั่นไฟนั้นสูงถึง 15,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 5 แสนบาทต่อเดือน สูงขึ้นกว่าช่วงเวลาก่อนหน้าเกิดวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อ 2 ปีก่อนถึง 10 เท่า
ปัญหาในเชิงเศรษฐกิจข้างต้นนั้นเรียกได้ว่าเป็นผลพวงจาก “ระบบการเมืองของประเทศ” ที่สร้างความโกลาหลให้กับสังคมเป็นเวลาหลายปี
“ธนาคารโลก” จัดให้วิกฤตทางการเงินของเลบานอนติด 1 ใน 3 ของวิกฤตที่รุนแรงที่สุดในโลกในรอบ 150 ปีที่ผ่านมา และมองไม่เห็นหนทางว่าเลบานอนจะฟื้นคืนจากหายนะครั้งนี้ได้อย่างไร
การทุจริตโครงการรัฐของข้าราชการในประเทศส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) ของประเทศลดลงจาก 55,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2018 ลดลงเหลือ 33,000 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2020 ที่ผ่านมา
แน่นอนว่าประชาชนออกมาชุมนุมขับไล่รัฐบาล โดยกระแสถูกกระตุ้นขึ้นหลังจาก รัฐบาลต้องการหารายได้เพิ่มด้วยการเสนอเก็บภาษีจากแอพพลิเคชั่น WhatsApp เมื่อปี 2019 นอกจากนี้ ยังมีข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริตและการบริหารงานผิดพลาดอีกมากมาย
ในที่สุดรัฐบาลก็ต้องลาออกจากตำแหน่งยกชุด แต่นั่นก็เกิดขึ้นหลังจากเกิดเหตุการณ์ “ระเบิดครั้งใหญ่” ที่ท่าเรือในกรุงเบรุต ทำลายอาคารบ้านเรือนไปครึ่งเมือง คร่าชีวิตคนกว่าสองร้อยคนไปอย่างน่าสลดใจ ที่นับเป็นอีกผลพวงจากความฟอนแฟะของระบบการเมืองในประเทศ
แม้รัฐบาลชุดเก่าจะถูกประชาชนออกมาขับไล่ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลชุดใหม่นำโดย “นาจิบ มิกาติ” มหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยที่สุดของประเทศเลบานอน ก็ถูกมองว่าจะมีผลงานไม่แตกต่างกันกับรัฐบาลชุดเก่า
มิกาติ ที่เวลานี้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เคยดำรงตำแหน่งนี้มาแล้ว 2 สมัย หมายถึงการเป็นส่วนหนึ่งของระบบเดิมที่นำประเทศดิ่งลงเหวอย่างในทุกวันนี้
อีกเหตุผลก็คือระบบการเมืองเลบานอนถูกมองว่ายากที่จะเปลี่ยนแปลงได้เนื่องจากเป็นการแบ่งปันอำนาจระหว่างกลุ่มการเมืองที่จัดสรรโควต้าอำนาจตามกลุ่มทางศาสนาที่เรียกว่า “Confessionalism” โดยกำหนดไว้ว่า ประธานาธิบดีต้องเป็นคริสเตียนมาโรไนต์ ประธานสภาต้องเป็นมุสลิมชีอะห์ และนายกรัฐมนตรีต้องเป็นมุสลิมสุหนี่ นั่นส่งผลให้อำนาจยังคงอยู่ในวงจำกัดกับตระกูลการเมืองไม่กี่ตระกูลเท่านั้น
นั่นหมายความว่า หากรัฐบาลยังคงบริหารงานไม่แตกต่างจากรัฐบาลก่อนๆ วิกฤตพลังงานไฟฟ้าขาดแคลนที่เลบานอนกำลังเผชิญในขณะนี้คงจะไม่สามารถแก้ไขให้ดีขึ้นได้เท่าใดนัก
แม้นายกรัฐมนตรีมิกาติจะให้คำมั่นว่าจะแก้ปัญหาอย่างเต็มที่ และหันไปเจรจากับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เพื่อขอความช่วยเหลือฟื้นฟูเศรษฐกิจก็ตาม