จากพระสมปอง ถึงกรณีถอด 3 เจ้าคณะจังหวัด ปัญหาวงการสงฆ์ ทรุดหรือพัฒนา/บทความพิเศษ

บทความพิเศษ

อภิเชต ผัดวงค์

 

จากพระสมปอง

ถึงกรณีถอด 3 เจ้าคณะจังหวัด

ปัญหาวงการสงฆ์ ทรุดหรือพัฒนา

 

พระพุทธศาสนาหยั่งลึกแนบแน่นในสังคมไทยมาช้านาน พุทธบริษัท 4 มีสถาบันสงฆ์เป็นองค์กรหลัก มองสภาพพระสงฆ์ให้เป็น ก็จะมองเห็นสภาพของสังคมไทย

สถานการณ์พระพุทธศาสนาจะมั่นคงรุ่งเรือง หรือมีสัญญาณเตือนที่ก่อให้เกิดความเป็นห่วงในหมู่พุทธศาสนิกชน สัญญาณเตือนนั้นในวงแคบท่านว่าให้ดูที่วงการคณะสงฆ์เป็นอันดับแรก เพราะหากภาพลักษณ์หรือภาพพจน์ของคณะสงฆ์ หรือพระสงฆ์เสื่อมเสีย ย่อมหมายถึงจะนำไปสู่สถานะในการเคารพนับถือ และศรัทธาต่างๆ

ภาพลักษณ์คณะสงฆ์ การนำเสนอข่าวของสื่อมวลชน และกระแสการรับรู้การใช้วิจารณญาณไตร่ตรองรอบด้านของประชาชนผู้รับฟังข่าวสาร ย่อมส่งผลต่อสถานการณ์พระพุทธศาสนา

เทรนด์ทวิตเตอร์ของไทยขึ้นเทรนด์ #saveพระมหาสมปอง หลังจากพระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต พระนักเทศน์สายฮา แห่งวัดสร้อยทอง ถ่ายทอดสดตัดพ้อถูกจ้องจับสึก

เทรนด์ยิ่งพุ่งโด่งทะลุเพดาน เมื่อวันถัดมาภาพถ่ายทอดสดพระมหาสมปองกั้นอาการไม่อยู่หลั่งน้ำตาหน้าจอ

พระมหาสมปองกับพระมหาไพรวัลย์ 2 พส.สร้างเสียงตอบรับจากโลกโซเชียล มีผู้ติดตามหลักแสน

การถ่ายทอดสดในลักษณะหัวร่อกิ๊กกั๊ก เรียกความสนใจให้กลุ่มนิยม แต่ก็ถูกจับตามองจากหน่วยกำกับดูแล อาทิ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ถูกเพ่งเล็งจากพระผู้ใหญ่ตามลำดับการปกครอง ถูกติติงในเรื่องการสำรวมกิริยา

และกำลังรอว่า ผลที่สุดจะออกมาอย่างไร จะสั่นสะเทือนองค์กรสงฆ์โดยรวมหรือไม่

 

นอกจากข่าว 2 พส. ข่าววงการคณะสงฆ์สร้างความสับสนอย่างกว้างขวางอีกข่าว

วันที่ 30 กันยายน 2564 มหาเถรสมาคมมีมติแต่งตั้งเจ้าคณะจังหวัด 30 รูป มีการถอดถอนเจ้าคณะจังหวัด 3 รูป ได้แก่ พระเทพสารเมธี เจ้าอาวาสวัดประชานิยม เจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์, พระธรรมรัตนาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดเขียนเขต เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี และพระราชปริยัติสุนทร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรวรารามวรวิหาร เจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา

ลูกศิษย์ลูกหาล่ารายชื่อผู้ไม่เห็นด้วยกับการถอดถอนครั้งนี้ รวบรวมรายชื่อได้แสนกว่ารายชื่อ เพื่อขอความเป็นธรรม

ในคราเดียวกันนี้ มีการแต่งตั้งเจ้าคณะจังหวัดซ้อน กล่าวคือ มีการแต่งตั้งพระสิริคณาจารย์ (รั่น อาริโย) วัดประดู่พัฒนาราม จ.นครศรีธรรมราช ให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช ทั้งที่พระราชปริยัติเวที หรือ “เจ้าคุณเจือ” วัดมุมป้อม เจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราชรูปเดิม ยังดำรงตำแหน่งอยู่

เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องจัดกำลังเข้าอารักขา “เจ้าคุณเจือ” ที่วัดมุมป้อม และพระสิริคณาจารย์ (รั่น อาริโย) ที่วัดประดู่พัฒนาราม ตลอด 24 ชั่วโมง เนื่องจากมีกระแสข่าวลือและไม่เป็นมงคลว่ามีการลงขันเพื่อก่อเหตุถึงขั้นหมายเอาชีวิต

 

วันที่ 11 ตุลาคม 2564 โฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติแถลงข่าวชี้แจงว่า มติมหาเถรสมาคมเมื่อวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมานั้น เป็นการพิจารณาแต่งตั้งตามระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้องในส่วนของพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2535 และฉบับที่ 4 พ.ศ.2561 ซึ่งได้กำหนดอำนาจหน้าที่การปกครองตามลำดับชั้น โดยชี้แจงว่าเจ้าคณะหน เจ้าคณะภาค และในระดับจังหวัด เป็นส่วนเจ้าคณะปกครองรับทราบเรื่องก่อนจะมีการดำเนินการ

เมื่อนักข่าวสอบถามถึงเหตุผลการถอดถอน ทางสำนักงานพระพุทธศสานาแห่งชาติตอบว่าไม่สามารถเปิดเผยสาเหตุได้ เป็นอำนาจของเจ้าคณะปกครองสงฆ์ที่จะดำเนินการแต่งตั้งหรือถอดถอน ตามแนวทางการปกครองของคณะสงฆ์

โฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติยังได้ชี้แจงถึงกรณีอดีตเจ้าคณะจังหวัดเชียงราย และอดีตเจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราชว่าตามที่เป็นข่าวการตั้งตำแหน่งซ้อนนั้น ได้แต่งตั้งเจ้าคณะองค์เดิมให้เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดไปแล้ว เพื่อคลายปัญหาเรื่องการแต่งตั้งเจ้าคณะจังหวัดซ้อน

กรณีนี้จึงยังสร้างความแคลงใจ เพราะก่อนหน้านี้มีบทสัมภาษณ์พระเลขานุการและกรรมการมหาเถรสมาคมบางรูปให้ข่าวว่าไม่ทราบเรื่อง อีกทั้งมีบางฝ่ายให้เข้าใจไปว่ามีการสอดไส้วาระการประชุม

ซึ่งหากเป็นจริง ย่อมสร้างความเสียหายต่อองค์กรมหาเถรสมาคม และฝ่ายกำกับดูแล

อีกทั้งเจ้าตัวอดีตเจ้าคณะนครจังหวัดศรีธรรมราช “เจ้าคุณเจือ” แจ้งกับสื่อมวลชนว่าไม่ทราบเรื่องที่ถูกถอดถอนมาก่อน ไม่มีการสอบสวน หรือเรียกไปชี้แจง กระทั่งท่านเปรยขึ้นว่า “การถอดถอนเปรียบดั่งการประหารชีวิต” เป็นชนวนให้มีการรวบรวมรายชื่อและกระแสต่อต้านรุนแรงที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น

แม้ภายหลังจะปรากฏพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชแต่งตั้งอดีตเจ้าคณะจังหวัดเชียงราย และอดีตเจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราชให้เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัด แต่งตั้ง ณ วันที่ 3 ตุลาคม 2564 ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2564 ก็ตาม

วิธีแถลงของโฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ รวมถึงการตอบคำถามถึงเหตุผลการถอดถอนพระเถระระดับพระสังฆาธิการในหลายจังหวัดครั้งนี้ ยังไม่ได้สร้างความกระจ่างให้สิ้นความสงสัยแต่ประการใด

ควรที่ฝ่ายซึ่งเกี่ยวข้องทั้งในระดับกำกับดูแล ทั้งในระดับนโยบาย จะเร่งให้ข้อมูล เร่งให้ข้อเท็จจริงเพื่อสาธารณชนจักได้คลายความสงสัยแคลงใจ

การดำเนินงานของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติที่สร้างความปมปัญหาคาใจให้กับสังคมไทยยังมีเงื่อนปมให้ต้องคลี่คลายอีกหลายเรื่อง

อาทิ ปัญหาวัดดัง ปัญหาเงินทอนวัด กล่าวเพียงคดีเงินทอนวัด เมื่อกลางปีที่ผ่านมา 5 อดีตพระเถระที่ต้องพ้นความเป็นสงฆ์ เมื่อศาลตัดสินไม่มีการทุจริต ไม่เข้าข่ายอาบัติปาราชิกกลับมาครองผ้าเหลือง ปัจจุบันมีสถานะอย่างไร จะมีการเยียวยาเช่นไร รูปคดีไปถึงไหน เรื่องนี้ก็ยังไม่กระจ่าง

 

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) เสนอไว้ใน “สถานการณ์พระพุทธศาสนาพลิกหายนะเป็นพัฒนา” ไว้ว่า…เราถือกันว่า พระสงฆ์เป็นสถาบันทางจริยธรรม เป็นสถาบันหลักของผู้นำด้านจิตใจของสังคมนี้ เราอาจจะพูดได้ว่า โดยทั่วไปในสังคมไทยนี้ พระสงฆ์เป็นบุคคลที่ถือได้ว่ามีศีลธรรมและจริยธรรมมากที่สุด

จากเกณฑ์มาตรฐานหรือความเข้าใจอย่างนี้ เมื่อเรามองสังคมไทย ก็จะได้ข้อคิดต่อไปว่า อ้อนี่ ขนาดบุคคลที่ถือว่าเป็นแบบอย่างทางศีลธรรม และเป็นผู้นำทางจิตใจของสังคม ก็ยังมีสภาพขนาดนี้ แล้วสังคมไทยทั่วไปจะขนาดไหน…

…เมื่อได้เห็นได้ยินข่าวเสียหายเหล่านี้ในวงการคณะสงฆ์ เราจะต้องรู้ตระหนักว่า มันไม่ใช่ปัญหาเฉพาะคณะสงฆ์เท่านั้น

แต่นี่คือปัญหาของสังคมไทยทั้งหมด ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนภัยให้รู้ว่า เวลานี้แม้แต่ส่วนที่ละเอียดอ่อนที่สุด ส่วนที่ถือว่าดีที่สุดของเรายังมีปัญหาขนาดนี้ แล้วสังคมไทยส่วนรวมจะเสื่อมขนาดไหน

เราจะนิ่งนอนใจอยู่ไม่ได้ จะต้องรีบลุกขึ้นมาช่วยกันปรับปรุงแก้ไข แล้วอันนี้ก็จะเป็นสำนึกที่เป็นประโยชน์ ช่วยนำไปสู่การแก้ไขปัญหา ไม่ใช่เป็นเพียงการมาต่อว่าด่าทอหรือปรับทุกข์กันแล้วก็จบไป ไม่ได้อะไรขึ้นมา

ถ้าเราคิดพิจารณาโดยใช้ปัญญา อย่างนี้ก็จะเป็นประโยชน์โดยเห็นทางที่จะใช้สถานการณ์เหล่านี้ให้เกิดคุณค่าขึ้นมา คือทำให้มีการแก้ไขปรับปรุงพัฒนาสังคมโดยส่วนรวม รวมทั้งแก้ไขปรับปรุงการพระศาสนาด้วย…

กระแสข่าวลือถึงขนาดลงขันขั้นหมายชีวิตพระเถระระดับเจ้าคณะจังหวัด ภาพพระมหาสมปอง นักเทศน์สายฮา หลั่งน้ำตาร้องไห้ระหว่างถ่ายทอดสด ย่อมสะท้อนสภาวการณ์บางอย่างในสังคมไทย

มองสงฆ์ให้เป็นก็มองเห็นสังคมไทย