สถานีคิดเลขที่ 12 โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร / น้ำใจไหลเชี่ยว

สถานีคิดเลขที่ 12/สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

————————-

น้ำใจไหลเชี่ยว

————————

“น้ำใจ”กำลังไหลเชี่ยวในรัฐบาลและพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)

ไม่ว่า การที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีน้ำใจ คืน 4 กรมในกระทรวงเกษตรฯที่เคยมอบให้พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ดูแล กลับคืนไปให้ นายเฉลิมศรี อ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ พรรคประชาธิปัตย์ ดูแล

ขณะที่ พี่ป้อม พล.อ.ประวิตร ก็มีน้ำใจกับน้อง ด้วยการยืนยันว่าจะยังนำเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นแคนดิเดตนายกฯในนามพปชร.

และยังมีน้ำใจ ตั้ง นายสมศักดิ์ เทพสุทิน และนายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคพปชร.

รวมทั้งต้องไม่ลืม ถึงน้ำใจ ของรัฐมนตรีและส.ส. ที่ถูกระดมไปช่วยประชาชนที่ถูกน้ำท่วมกันถี่ยิบ

โดยเฉพาะ ภาพที่ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ลุยน้ำระดับอก แจกของให้ชาวบ้านอย่างถึงลูกถึงคน สร้างความฮือฮาในโลกข่าวสารทั้งออฟไลน์ ออนไลน์

นี่คือ ตัวอย่าง “น้ำใจ” ไหลเชี่ยว อย่างที่ว่า

กระนั้น อย่างสำนวนโบราณท่านว่า น้ำลึกหยั่งได้ น้ำใจหยั่งยาก

ก็เลยยังมีคำถามพ่วงท้ายอยู่ว่า ในความเชี่ยวของน้ำใจนั้นมีอะไรแฝงอยู่หรือไม่

อย่าง การ คืนงาน 4 กรมในกระทรวงเกษตรฯ ให้ประชาธิปัตย์ คนก็ไม่ได้เชื่อว่า ต่อมมารยาททางการเมือง ของผู้นำรัฐบาลกลับมาทำงานกระทันหัน

และไม่ได้เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ รัก”ประชาธิปัตย์”ถึงขั้นยอมกลับลำคืนงานให้

หากแต่ตั้งข้อสังเกตุว่า หรือมีคนได้ยินเสียงวิจารณ์ว่า การให้พล.อ.ประวิตร คุม 4 กรม ก็คือการให้งานดังกล่าวอยู่ในดูแลหรือควบคุม โดยร.อ.ธรรมนัส ทางอ้อม เปรียบเป็นรัฐมนตรีเงาที่ยังมีบทบาทอยู่

ได้ยินและเห็นเค้าเช่นนั้น เลยใช้จังหวะที่คนประชาธิปัตย์มีปฏิกริยาไม่พอใจ รีบดึงงาน4 กรมกลับคืนไปให้แบบไม่กลัวเสียหน้า

ดีกว่าที่จะให้ “ผู้ที่ถูกปลด” มีอิทธิพลในการบริหาร 4 กรมต่อไป

เช่นเดียวกับ การที่ พล.อ.ประวิตร ตั้งนายสมศักดิ์ และนายพีระพันธ์ มาเป็นที่ปรึกษาพรรค

ก็มีผู้สงสัยเช่นกันว่า ไม่น่าจะเป็นเรื่อง”น้ำใจ”เพียวๆ

หากแต่เป็นยุทธวิธี ดึงมิตรไม่ให้เป็นศัตรูหรือเปล่า

ต้องไม่ลืมว่า การปลดนายสมศักดิ์ จากประธานยุทธศาสตร์เพื่อเอาไปให้คนใกล้ชิดพล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ไม่ว่าใครก็ย่อมเสียความรู้สึก

ทำให้ตอนหลัง มีข่าวว่า กลุ่มสามมิตรของนายสมศักดิ์ เอียงไปทางบิ๊กตู่

นี่จึงอาจทำให้ต้องรีบเยียวยา เพื่อคงเยื่อใยให้มีต่อกัน

เช่นเดียวกับนายพีระพันธ์ ที่มีข่าวหนาหูว่าคนในทำเนียบส่งเข้ามาถ่วงดุลในพรรคพปชร.

ซึ่งการให้เกิดภาพเช่นนั้น ย่อมไม่เป็นผลดีต่อสถานะความเป็นหัวหน้าพรรคของพล.อ.ประวิตร ที่ควรเป็นผู้กำหนดเกมนัก

ดังนั้นแทนที่จะให้นายพีระพันธ์เข้ามาเพราะมีคนกดดัน ก็เลยชิงตั้งเป็นที่ปรึกษา อย่างน้อยก็ให้ดูว่าอยู่ในอาณัติของหัวหน้าพรรค

แต่ขนาดนั้นนายพีระพันธ์ก็ใช่จะปล่อยให้ครอบได้ง่ายๆ มี”ดีล”คนและงานพ่วงเป็นเงื่อนไขเข้ามาด้วย

จึงดูมีอะไรที่ขบๆกันอยู่

ส่วน การที่พล.อ.ประวิตร บอกว่าจะยังให้พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้ที่พปชร.สนับสนุนให้เป็นนายกฯนั้น

ก็มีการตั้งข้อสังเกตุอีกว่าไม่น่าจะเป็น”น้ำใจ”อันเปี่ยมด้วยความปรารถนาดีระหว่างพี่น้อง 3 ป.นัก

น่าจะเป็นน้ำใจที่เจือการหยั่งเชิง ไม่ว่าการแตกตัวไปตั้งพรรคใหม่ หรือโผนายกฯอาจไม่ได้มีพล.อ.ประยุทธ์คนเดียวแต่อาจมีชื่ออื่นเข้ามาประกบด้วย

นี่คือความเชี่ยวของสงครามการข่าวที่มีการปล่อยออกมาคู่ขนานกับภาพ”น้ำใจ”ไหลเชี่ยวที่พยายามโชว์กันอยู่?!?