ยานยนต์ สุดสัปดาห์/ถึงเวลาน้องเล็ก “The GLA” เอสยูวีสุดจี๊ดค่าย “ดาวสามแฉก”

สันติ จิรพรพนิต

ยานยนต์ สุดสัปดาห์/สันติ จิรพรพนิต [email protected]

ถึงเวลาน้องเล็ก “The GLA” เอสยูวีสุดจี๊ดค่าย “ดาวสามแฉก”

ครึ่งปีแรกก็ซัดเข้าไปหลากหลายรุ่นเหลือเกิน และแม้ย่างเข้าครึ่งปีหลัง “เมอร์เซเดส-เบนซ์” ก็ยังไม่ถอนคันเร่งง่ายๆ เพราะแค่ผ่านมาไม่ถึงเดือนก็เปิดตัวรถรุ่นใหม่ “จีแอลเอ” (The GLA) เอสยูวีน้องเล็ก

จีแอลเอ ถือว่าต่อยอดมาจาก “A-Class” เก๋งเล็กของค่าย เช่นเดียวกับเก๋งรุ่น “CLA” ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้

และเช่นเดียวกับรถหลายรุ่นของดาวสามแฉก เวลาจะมาก็มากันเป็นชุดๆ ไม่ได้มาเดี่ยวๆ

จีแอลเอ เปิดตัวพร้อมกัน 3 รุ่นย่อย เริ่มจาก GLA 200 Urban, GLA 250 AMG Dynamic เพิ่มชุดแต่ง-เครื่องยนต์บล๊อกใหญ่ขึ้น และ Mercedes-AMG GLA 45 4MATIC ตัวแรงพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ

เริ่มกันที่ตัวต่ำสุด GLA 200 Urban เห็นแค่กระจังหน้าต้องบอกว่าไม่ธรรมดาเพราะใช้กริลแบบเดียวกับ “จีแอลเอส” เอสยูวีรุ่นใหญ่แบบ 7 ที่นั่ง ออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ ปรับปรุงรูปร่างของเสาเอให้ลาดเป็นวงโค้ง การปรับปรุงกรอบกระจกรอบตัวถัง เพื่อการไหลเวียนของอากาศด้านใต้ท้องรถ ปรับแต่งปลายขอบตัวถังบริเวณส่วนล่างของตัวรถให้เป็นพื้นที่ลู่ลมขนาดใหญ่

กันชนแบบใหม่, ระบบไฟหน้าแบบ LED High Performance มาทดแทนระบบไฟหน้าแบบ Bi-Xenon พร้อมด้วยอุณหภูมิแสงที่ใกล้เคียงกับแสงอาทิตย์ ที่จะช่วยลดความเมื่อยล้าของสายตาผู้ขับขี่เมื่อต้องขับรถในเวลากลางคืน

พร้อมระบบ Adaptive highbeam Assist ที่ช่วยปรับไฟสูงแบบอัตโนมัติ เพื่อลดการบดบังทัศนวิสัยของผู้ร่วมใช้ถนน, ไฟ daytime สำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED

ไฟ daytime สำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED ในกรอบไฟหน้า, ไฟส่องสว่างอัตโนมัติในที่มืด, ไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง ไฟท้าย และไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED, กระจกมองข้างปรับระดับ และพับเก็บด้วยระบบไฟฟ้า

ระบบเปิด-ปิดบานประตูท้ายด้วยระบบไฟฟ้า, ราวหลังคาอะลูมิเนียม, ปลายท่อไอเสียเสริมโครเมียม 2 ท่อ ล้ออัลลอย แบบ 5 ก้าน ขนาด 18 นิ้ว

ภายในมาพร้อมกับระบบมัลติมีเดียมาตรฐานรุ่นใหม่ อย่าง หน้าจอขนาด 8 นิ้ว, มาตรวัดรุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับเข็มชี้สีแดงซึ่งช่วยให้ผู้โดยสารอ่านค่าสิ่งต่างๆ ได้ง่ายขึ้น พร้อมระบบกุญแจแบบ KEYLESS-GO

ภายในตกแต่งด้วยเบาะนั่งหุ้มหนัง ARTICO เบาะนั่งสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้าปรับระดับด้วยระบบไฟฟ้าพร้อมหน่วยบันทึกความจำ

เบาะนั่งด้านหลังสามารถพับได้ทั้ง 1:3 / 2:3 ตามความต้องการเพื่อเพิ่มพื้นที่ในการจัดเก็บของที่เพิ่มขึ้น เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหลังปรับองศาได้ พร้อมกล่องเก็บของตาข่ายสัมภาระซ้าย-ขวา และช่องจ่ายไฟขนาด 12 โวลต์ บริเวณที่เก็บสัมภาระด้านท้าย

ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ THERMOTRONIC แบบ 2 โซน, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น, วิทยุ-ซีดี MB Audio 20, ระบบสำหรับเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่ (BlueTooth), รองรับการใช้งานระบบนำทาง (Pre-installation SD-Card Navigation)

ฟังก์ชั่นเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือระบบปฏิบัติการ iOS (Apple CarPlay?), MB Apps, ไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสารแบบ 12 สี และกาบบันไดเรืองแสงพร้อมสัญลักษณ์ Mercedes-Benz

มาพร้อมกับระบบมัลติมีเดียมาตรฐานรุ่นใหม่ อย่าง หน้าจอขนาด 8 นิ้ว มาตรวัดรุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับเข็มชี้สีแดงซึ่งช่วยให้ผู้โดยสารอ่านค่าสิ่งต่างๆ ได้ง่ายขึ้น

GLA 200 Urban ใช้เครื่องยนต์เบนซิน แถวเรียง 4 สูบ เทอร์โบ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ 1,595 ซีซี กำลังสูงสุด 156 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตันเมตร ความเร็งสูงสุด 215 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ราคา 2,090,000 บาท

ส่วน GLA 250 AMG Dynamic จัดเต็มกับชุดแต่ง AMG bodystyling (กันชนหน้า-หลัง และสเกิร์ตข้าง), ดิสก์เบรกหน้าแบบมีช่องระบายความร้อน, สัญลักษณ์ Mercedes -Benz บนคาลิปเปอร์เบรกหน้า และล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตจาก AMG แบบ Multi-spoke ขนาด 19 นิ้ว

หลังคาพาโนรามิก ซันรูฟ เลื่อนเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า, ระบบเปิด-ปิดบานประตูท้ายอัตโนมัติโดยไม่ต้องใช้มือ เพียงสืบเท้าเข้าไปใต้ประตูจะเปิด-ปิดได้เอง สะดวกเวลาหอบข้าวของเต็มสองมือ

GLA 250 AMG Dynamic ตกแต่งด้วยเบาะนั่งหุ้มหนัง ARTICO สลับ DINAMICA microfibre สีดำ ตกแต่งด้วยด้ายสีแดง, ชุดคันเร่งและแป้นเบรกแบบสปอร์ต

GLA 200 Urban และ GLA 250 AMG Dynamic มาพร้อมกับการยกตัวถังให้สูงขึ้น เพื่อช่วยเพิ่มประสบการณ์การขับขี่แบบออฟโร้ดให้ดีขึ้น ด้วยตำแหน่งที่นั่งซึ่งยกสูงขึ้นและรูปลักษณ์ที่ดูสมบุกสมบัน

ท่อเก็บเสียงด้านหลังซึ่งเชื่อมต่อกับดิฟฟิวเซอร์อีกด้วย นอกจากนี้ ติดตั้งสปอยเลอร์หลังคา พร้อมติดตั้งไฟหลังที่ออกแบบขึ้นเป็นพิเศษ รวมถึงติดตั้งสปอยเลอร์ที่ด้านข้างตัวรถทั้ง 2 ด้าน เพื่อควบคุมการไหลเวียนของอากาศทางด้านหลังของตัวรถให้เป็นไปอย่างเหมาะสม

ความปลอดภัยทั้ง 2 รุ่น อาทิ ถุงลมนิรภัยด้านหน้า 2 ตำแหน่ง ด้านข้าง 2 ตำแหน่ง ม่านถุงลมนิรภัยด้านข้าง ป้องกันศีรษะ 4 ตำแหน่งสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร กล้องแสดงภาพด้านหลังสำหรับถอยรถ, โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ ESP ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ASR ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS ระบบเบรก ADAPTIVE BRAKE ระบบเตือนแรงดันยาง ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ ฯลฯ

GLA 250 AMG Dynamic ใช้เครื่องยนต์เบนซิน แถวเรียง 4 สูบ เทอร์โบ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ 1,991 ซีซี กำลังสูงสุด 211 แรงม้า แรงบิด 350 นิวตัน-เมตร ความเร็วสูงสุด 235 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ตั้งราคาอยู่ที่ 2,390,000 บาท

ปิดท้ายที่รุ่นตัวแรงสุด Mercedes-AMG GLA 45 4MATIC ฝากระโปรงหน้ารูปแบบใหม่ที่มีทรงที่ลู่ลมกว่าเดิม ลวดลายของช่องรับอากาศด้านหน้าใหม่ ระบบไฟหน้าแบบ LED High Performance ปรับไฟสูงอัตโนมัติ

ชุดแต่ง AMG Night Package, AMG Aerodynamic package ที่เพิ่มชุดตกแต่งกันชนหน้าและกันชนหลังสีดำแบบไฮ-กลอสให้มีความสปอร์ตมากยิ่งขึ้น

ท้ายรถที่มาพร้อมกับดิฟฟิวเซอร์ลวดลายใหม่บริเวณกันชนหลัง การเลือกใช้วัสดุเก็บขอบสีดำปลายขอบ สปอยเลอร์หลังคาที่ปรับแต่งเพื่อยกระดับประสบการณ์การขับขี่โดยเฉพาะ

ภายใน เบาะที่นั่งหุ้มหนังแบบสปอร์ต เบาะคู่หน้าปรับระดับด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมหน่วยบันทึกความจำ และระบบอุ่นร้อน, ชุดคันเร่งและแป้นเบรกแบบสปอร์ต, พวงมาลัยแบบพิเศษ AMG Performance Steering Wheel Nappa / DINAMICA

ตกแต่งภายในด้วย AMG Design trim in black / red แบบ CARBON FIBRE พร้อมกับเข็มขัดนิรภัยสีแดงที่เข้ากับสีเบาะ

กาบบันไดเรืองแสง ประตูหน้าแบบ AMG และ AMG DYNAMIC SELECT, ล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตจาก AMG แบบ 10 ก้าน ขนาด 20 นิ้ว

เครื่องเสียง Harman Kardon Logic 7 surround sound system ที่ให้เสียงรอบทิศทาง ระบบสำหรับเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Bluetooth) หลังคาพาโนรามิก ซันรูฟ เลื่อนเปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า

เด็ดสุดไม่พ้นเครื่องยนต์เบนซิน แถวเรียง 4 สูบ เทอร์โบ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ 1,991 ซีซี ให้กำลังสูงสุดถึง 381 แรงม้า แรงบิดมหาศาล 475 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลาเพียง 4.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ถ้าเทียบแล้วถือเป็นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรที่ให้กำลังแรงเฟร่อมาก

AMG Performance 4MATIC ระบบช่วงล่างและระบบขับเคลื่อน 4 ล้อมาตรฐาน ยึดเกาะพื้นถนนอย่างมั่นใจแม้ในสภาพการขับขี่แบบออฟโร้ด ถ่ายทอดพลังงานจากเครื่องยนต์สู่ล้อทั้ง 4 การส่งแรงบิดที่คงที่อย่างต่อเนื่องพร้อมด้วยการกระจายแรงบิดที่ล้อคู่หน้าและคู่หลังอย่างเท่ากัน

สนนราคาถือว่าเอาเรื่องอยู่เพราะแพงกว่า 2 รุ่นที่แล้วกว่าเท่าตัว อยู่ที่ 4,840,000 บาท