2503 สงครามลับ สงครามลาว (50)/บทความพิเศษ พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

บทความพิเศษ

พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

 

2503 สงครามลับ

สงครามลาว (50)

รายงานของพันเอกเหงียน ชวน ต่อ…

 

“ข้าพเจ้าจับเวลาการยิงเตรียมจากปืนใหญ่ที่ระดมเข้าสู่เป้าหมาย ณ ที่หมายที่มั่นแข็งแรงที่ 3 เมื่อครบ 3 นาทีก็ออกคำสั่งให้เลื่อนฉากการยิงไปยังที่มั่นแข็งแรงที่ 5 และ 9 ตามลำดับ จากนั้นก็สั่งการให้ปืนกลขนาด 12.7 ม.ม. ยิงกระสุนส่องวิถีเพื่อแสดงทิศทางการเคลื่อนที่และกดข้าศึกไว้ไม่ให้โงหัวขึ้น ขณะที่กำลังแตกหักของเราบุกชาร์จที่หมายเพื่อโจมตีกวาดล้างและเข้ายึดที่มั่นแข็งแรงที่ 3

6 นาทีต่อมา ข้าพเจ้าไม่ได้ยินเสียงปืนใดๆ จากภายในที่มั่นแข็งแรงที่ 3 ทั้งจากฝ่ายเราและฝ่ายศัตรู ทั้งกองร้อยทหารราบที่ 1 และกองร้อยแซปเปอร์ที่ 19 ก็มิได้ส่งรายงานใดๆ เข้ามายังกองบังคับการ สร้างความวิตกและความห่วงใยต่อข้าพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง เกิดอะไรขึ้นกับหน่วยของเราในการเข้าตีที่หมายที่มั่นแข็งแรงที่ 3

แต่ไม่นานที่ตรวจการณ์ของเราก็รายงานเข้ามาว่า ได้ยินเสียงปืนอาร์ก้า-47 จากภายในที่มั่นแข็งแรงที่ 3 ซึ่งถึงตอนนี้ข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงระเบิดดังกึกก้องมาจากภายในที่ฟังการณ์ของข้าศึก และยังได้ยินเสียงปืนอาร์ก้า-47 ข้าพเจ้าจึงคาดการณ์ว่าเด็กๆ ของเราสามารถยึดคูติดต่อแนวหน้าสุดของข้าศึกได้แล้ว

10 นาทีต่อมา ทุกหน่วยต่างรายงานเข้ามาว่าสามารถยึดที่มั่นแข็งแรงที่ 3 ของข้าศึกได้เบ็ดเสร็จแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม พวกเราสามารถยึดได้เพียงบังเกอร์เหนือพื้นดินเท่านั้น ยังไม่สามารถทำลายบังเกอร์ข้าศึกที่อยู่ใต้ดิน

ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกอีกครั้ง หลายคนในกองบัญชาการแสดงความดีอกดีใจทั้งเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะ ข้าพเจ้าเปิดโอกาสให้พวกเขาได้แสดงออกเต็มที่ เพราะข้าพเจ้าเองก็รู้สึกยินดีไม่ผิดจากพวกเขา และอยากส่งเสียงเชียร์อย่างพวกเขาเช่นเดียวกัน

ในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีข้าศึกที่ยังมีชีวิตหลงเหลืออยู่ในบังเกอร์ใต้ดินแต่อย่างใด บังเกอร์ใต้ดินเหล่านี้มีมากกว่าหนึ่งชั้นเพราะเชื่อว่ายิ่งอยู่ลึกลงไปเท่าใดก็จะยิ่งปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น เราสามารถเข้าตีและทำลายกำลังข้าศึกที่อยู่บังเกอร์ชั้นบนได้และเข้าใจว่าภารกิจสำเร็จแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่ายังมีบังเกอร์อีกชั้นหนึ่งอยู่ต่ำลงไป

ข้าศึกให้ความเชื่อมั่นอย่างผิดๆ ต่อบังเกอร์คอนกรีตเสริมแรง โดยมองข้ามไปว่ามันจะกลับกลายเป็นโลงศพขนาดยักษ์สำหรับทหารรับจ้างจำนวนมากที่สู้รบเพื่อจักรวรรดินิยมอเมริกา”

 

ยึดที่มั่นแข็งแรงที่ 3 สำเร็จ

“ข้าพเจ้าติดต่อทางวิทยุเพื่อแสดงความชื่นชมยินดีกับผู้บังคับกองร้อยที่ 1 และผู้บังคับกองร้อยแซปเปอร์ที่ 19 กับความสำเร็จในภารกิจและปฏิบัติการอันยอดเยี่ยมครั้งนี้ แล้วออกคำสั่งให้ถอนตัวกลับมายังจุดที่กำหนดไว้ในแผนเข้าตี จากนั้นก็โอนความรับผิดชอบในการป้องกันที่มั่นที่ยึดได้ให้กับหน่วยที่มีภารกิจวางกำลังโอบล้อม หน่วยลำเลียงของเราเคลื่อนที่เข้าไปแนวหน้าเพื่อเก็บรวบรวมอาวุธ กระสุน และเครื่องเสบียงรวมทั้งยุทโธปกรณ์อื่นๆ ที่เรายึดไว้ได้

จากนั้นก็เตรียมเริ่มปฏิบัติตามแผนที่จะเข้าตีที่มั่นแข็งแรงที่ 5 และ 9 ต่อไป กองพันที่ 4 กับกองร้อยที่ 2 และ 3 ได้รับคำสั่งให้เตรียมพร้อม ที่บังคับการกรมของข้าพเจ้าเคลื่อนย้ายที่ตั้งเข้าไปใกล้ศูนย์กลางพื้นที่บ้านนา-ศูนย์กลางการบังคับบัญชาของข้าศึกเข้าไปอีก”

พันเอกเหงียน ชวน รายงานความสำเร็จในการเข้ายึดบ้านนาปิดท้ายว่า…

“ตลอดทั้งวันต่อมา ข้าศึกโจมตีโต้ตอบเราอย่างบ้าคลั่ง รวมทั้งมีการทิ้งระเบิดแบบปูพรมจากเครื่องบินทิ้งระเบิด B-52 ซึ่งปกติแล้วจะไม่มีการใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติในระดับยุทธวิธีเช่นนี้ จึงสร้างความสับสนและไม่มั่นใจต่อฝ่ายเราในการประเมินท่าทีของข้าศึก ต่อมาเราจึงได้รับคำตอบว่า การระดมทิ้งระเบิดทางอากาศครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการถอนตัวจากพื้นที่การรบของข้าศึก

โดยต่อมาฝ่ายข้าศึกก็ส่งเฮลิคอปเตอร์มายังพื้นที่ศูนย์กลางบ้านนา ซึ่งในชั้นแรกข้าพเจ้าเข้าใจว่าเป็นการส่งกำลังเคลื่อนที่เร็วเข้ามาเพิ่มเติมเพื่อให้ความช่วยเหลือที่ตั้งกองบังคับการของข้าศึก

ข้าพเจ้าคาดไม่ถึงว่า แท้จริงแล้วกลับเป็นการถอนกำลังข้าศึกออกจากที่มั่น จนกระทั่งเมื่อกองพันของฝ่ายรัฐบาลลาวซึ่งวางตัวทางด้านปีกขวาแตกพ่ายและหลบหนีจากที่มั่น ข้าพเจ้าจึงตระหนักว่าข้าศึกกำลังถอนตัวจากพื้นที่บ้านนา จึงออกคำสั่งให้หน่วยของเราไล่ติดตามข้าศึกที่กำลังพยายามหลบหนีเหล่านี้ทันที

แต่ก็ไม่ทันต่อเหตุการณ์ จึงสามารถสังหารข้าศึกได้เพียงจำนวนน้อยและจับเชลยศึกได้เพียง 30 คนเท่านั้น”

 

ยึดบ้านนาได้ แต่ล้มเหลวที่ล่องแจ้ง

ในที่สุดเมื่อเวลา 19.00 น. กำลังของฝ่ายเราก็เข้ายึดพื้นที่บ้านนาได้ทั้งหมด รวมทั้งคลังกระสุนและคลังอาวุธ ทำให้สามารถยึดอาวุธและสิ่งอุปกรณ์ของข้าศึกได้เป็นจำนวนมาก

เมื่อสามารถกำชัยชนะได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ข้าพเจ้าได้แจ้งต่อฝ่ายอำนวยการด้านยุทธการให้ส่งรายงานไปยังกองบัญชาการส่วนหน้าว่า กรมของเราสามารถปลดปล่อยบ้านนาได้เรียบร้อยแล้ว

แต่ในเวลาเดียวกันนั้น ข้าพเจ้าถึงกับงงงันไปชั่วขณะเมื่อได้รับทราบข่าวว่า ส่วนเข้าตีหลักของเราล้มเหลวในการเข้ายึดที่หมายล่องแจ้งและกำลังถอนตัว

ข้าพเจ้าจึงออกคำสั่งให้หน่วยวางกำลังยึดรักษาพื้นที่บ้านนาไว้ให้เหนียวแน่นป้องกันการเข้าตีเพื่อยึดพื้นที่คืนจากฝ่ายข้าศึก

 

ความเห็นของซีไอเอ

JAMES E. PARKER JR อดีตเจ้าหน้าที่ซีไอเอที่อุดรฯ “Desk Officer” ผู้รับผิดชอบทุ่งไหหินและล่องแจ้ง ผู้เขียน BATTLE FOR SKYLINE RIDGE ให้ความเห็นต่อรายงานความสำเร็จของพันเอกเหงียน ชวน ว่า

“รายงานฉบับนี้มีความคลาดเคลื่อนหลายแห่ง และมีลักษณะยกย่องตนเองมากเกินไป ไม่มีเฮลิคอปเตอร์บินลงที่บ้านนาเพื่ออพยพกำลังทหารไทยแต่อย่างใด ขณะที่กรม 165 สามารถเข้ายึดที่มั่นแข็งแรงบางจุดของกองพันทหารราบ 15 ได้จริง แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะกำลังทั้งหมดของทหารไทยในที่มั่น”

“และไม่สามารถเข้ายึดพื้นที่บ้านนาได้ทั้งหมดขณะที่ทหารไทยวางกำลังอยู่ในที่มั่นแต่อย่างใด”

 

ทหารเสือพราน

กองพันทหารราบ บีไอ 15 และกองร้อยปืนใหญ่ของไทยที่บ้านนาถูกปิดล้อมยาวนานตั้งแต่มกราคม พ.ศ.2514 จนกระทั่งถูกกำลังที่เหนือกว่าของเวียดนามเหนือบุกประชิด บก.ผสม 333 จึงตัดสินใจส่งกำลังสดใหม่ในนาม “กองพันทหารเสือพราน” ให้เข้ามาเพิ่มเติมกำลังที่บ้านนาในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2514

เป็นทหารเสือพรานหน่วยแรกที่เดินทางจากค่ายฝึกในไทยเข้าสู่สมรภูมิรบที่ทุ่งไหหินในลาว

ในขณะที่ทหารประจำการของไทยตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤตและกำลังจะสิ้นสุดภารกิจในลาว