การยิงขีปนาวุธของโสมแดง กับการฟื้นสายฮอตไลน์สองเกาหลี/บทความต่างประเทศ

บทความต่างประเทศ

 

การยิงขีปนาวุธของโสมแดง

กับการฟื้นสายฮอตไลน์สองเกาหลี

 

หลังจากเกาหลีเหนือทำให้ทั่วโลกหันมาให้ความสนใจตัวเองอีกครั้ง ด้วยการยิงขีปนาวุธไปตกกลางทะเลตะวันออก เมื่อวันที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านั้นราว 2 สัปดาห์ เกาหลีเหนือก็เพิ่งจะทดสอบการยิงขีปนาวุธขึ้นจากแท่นบนขบวนรถไฟไป

หลังจากการทดลองยิงขีปนาวุธครั้งล่าสุด นายคิม ซอง ผู้แทนเกาหลีเหนือประจำสหประชาชาติ ได้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ในวันที่ 29 กันยายน โดยระบุว่า เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ควรจะฟื้นฟูความสัมพันธ์กัน โดยไม่ต้องมีสหรัฐเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของคาบสมุทรเกาหลี พร้อมกับแสดงความไม่พอใจที่สหรัฐและเกาหลีใต้ซ้อมรบร่วมกัน

คำกล่าวดังกล่าว มีขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดีมุน แจ อิน ของเกาหลีใต้ เรียกร้องให้มีการประกาศยุติสงครามเกาหลีอย่างเป็นทางการ เพื่อขับเคลื่อนการเจรจาระหว่างสองเกาหลีที่ยังไม่มีความคืบหน้า

 

หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง คิม โย จอง น้องสาวผู้ทรงอิทธิพลของนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ได้ออกมาพูดถึงความเป็นไปได้ที่จะจัดให้มีการประชุมสุดยอดผู้นำระหว่างสองเกาหลีขึ้นมาอีกครั้ง

โดยคิม โย จอง บอกว่า ความเคารพซึ่งกันและกัน และการไม่มีอคติ ถือเป็นสิ่งจำเป็น พร้อมกับเรียกร้องให้เกาหลีใต้หยุดการออกมาแสดงความเห็นอวดดี และยังประณามเกาหลีใต้และสหรัฐอเมริกาว่า สองมาตรฐาน จากการที่ออกมาวิจารณ์การประจำการทางทหารของเกาหลีเหนือ

และในวันที่ 30 กันยายน นายคิม จอง อึน ก็ออกมาบอกว่า เขาตั้งใจที่จะกลับมาเปิดสายด่วนฮอตไลน์ ที่ติดต่อระหว่างเกาหลีเหนือกับใต้อีกครั้งในเดือนตุลาคมนี้ พร้อมกับกล่าวหาสหรัฐอเมริกาที่เสนอให้มีการการเจรจาหารือระหว่างกัน โดยที่สหรัฐอเมริกาเองไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายอันมุ่งร้ายและเป็นปรปักษ์ต่อเกาหลีเหนือแต่อย่างใด

ทั้งนี้ เคซีเอ็นเอ รายงานว่า ผู้นำคิมได้กล่าวเรื่องดังกล่าวระหว่างการประชุมสภาประชาชนสูงสุด ซึ่งเป็นองค์กรนิติบัญญัติที่สูงที่สุดของเกาหลีเหนือ ในวันที่ 2 ตุลาคม ที่มีการหารือเกี่ยวกับประเด็นทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศเกาหลีเหนือ

โดยนายคิมกล่าวว่า การตัดสินใจกลับมาฟื้นสายด่วนระหว่างสองเกาหลีอีกครั้ง เพื่อช่วยให้เข้าถึงความคาดหวังและความปรารถนาของสองเกาหลี และเพื่อฟื้นฟูสันติภาพ รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างกันตลอดพรมแดนให้ยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม ผู้นำเกาหลีเหนือยังได้กล่าววิพากษ์วิจารณ์เกาหลีใต้ว่า หลงผิดต่อสิ่งที่ระบุว่าเป็นการยั่วยุทางการทหารจากเกาหลีเหนือ เพราะเกาหลีเหนือไม่ได้ตั้งใจ หรือมีเหตุผลใดที่จะยั่วยุเกาหลีใต้ และว่า เกาหลีเหนือจะไม่มีความคิดที่เป็นอันตรายกับเกาหลีใต้เช่นกัน

 

กระทั่งในวันที่ 4 ตุลาคม สถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างสองเกาหลี ก็มีความคืบหน้าไปอีกระดับ โดยที่เกาหลีเหนือและใต้กลับมาเปิดใช้ระบบการสื่อสารข้ามพรมแดนกันอีกครั้งตั้งแต่ช่วงเช้าวันที่ 4 ตุลาคม หลังเลิกใช้ไปนานกว่า 1 ปี

โดยกระทรวงรวมชาติของเกาหลีใต้ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่จากเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ได้โทรศัพท์สายตรงหากันได้แล้ว ขณะที่กระทรวงการป้องกันประเทศของเกาหลีใต้ก็ออกมายืนยันเช่นเดียวกันว่า ระบบสื่อสารดังกล่าวสามารถกลับมาใช้งานได้แล้ว

ทั้งนี้ กระทรวงรวมชาติของเกาหลีใต้ระบุว่า การกลับมาใช้ระบบสื่อสารนี้ รัฐบาลเกาหลีใต้มองว่าเป็นรากฐานของการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีเหนือและใต้

ขณะที่สำนักข่าวกลางเกาหลี หรือเคซีเอ็นเอ ของเกาหลีเหนือ รายงานว่า นายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ มีความตั้งใจที่จะฟื้นฟูระบบการสื่อสารสายตรงนี้ เพื่อสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนบนคาบสมุทรเกาหลี

 

อย่างไรก็ตาม นายพัค วอน กอน ศาสตราจารย์ด้านเกาหลีเหนือศึกษา จากมหาวิทยาลัยหญิงอีฮวา ในกรุงโซล เกาหลีใต้ กลับมองว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น เพราะเกาหลีเหนือเพิ่งจะทดสอบยิงขีปนาวุธไป

และแม้ว่าการกระทำนี้จะนำไปสู่การหารือกัน ที่อาจจะทำให้เราเข้าสู่ยุคใหม่ที่เกาหลีเหนือร่วมวงหารือด้วย

แต่เกาหลีเหนือก็ยังคงจะทำการที่ยั่วยุเช่นเดิม