น้ำท่วมหยั่งได้ น้ำใจหยั่งยาก/บทความในประเทศ

บทความในประเทศ

 

น้ำท่วมหยั่งได้

น้ำใจหยั่งยาก

 

ฮือฮากันไม่สร้างซา

กับเหตุการณ์เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม

ที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในฐานะประธานมูลนิธิธรรมนัส พรหมเผ่า เพื่อการกุศล ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ในเขตเทศบาลตำบลหัวเวียง อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา

นอกจากจะย้ำจุดยืนอันมั่นคงว่า เป็นการลงพื้นที่อันเนื่องจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค พปชร. ห่วงใยประชาชนจึงได้มอบหมายให้ตนในฐานะเลขาธิการพรรค มาเยี่ยมเยียนและช่วยเหลือเยียวยาบรรเทาความเดือดร้อนผู้ประสบเหตุทุกครัวเรือน

ซึ่งก็เป็นการย้ำชัดเจนอีกครั้ง ว่าทำในฐานะพรรค

มิได้เกี่ยวข้องกับรัฐบาลหรือเกี่ยวข้องใดๆ กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

 

ยิ่งกว่านั้น ร.อ.ธรรมนัสยังโชว์ปฏิบัติการ “ปิดทองหลังพระ”

โดยโพสต์ข้อความฝ่ายเฟซบุ๊กว่า

“วันนี้ผมและทีมงานได้เดินนำสิ่งของช่วยเหลือเข้าไปมอบให้ชุมชนริมแม่น้ำที่ ต.หัวเวียง อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา ที่ได้รับความเดือดร้อนในตอนนี้ โดยผมได้แนะนำตัวกับชาวบ้านว่าผมเป็นจิตอาสา และกำชับกับทีมงานว่าห้ามบอกกับชาวบ้านว่าผมคือใคร แค่นำสิ่งของมาช่วยเหลือและต้องการรับฟังปัญหาที่แท้จริงจากชาวบ้านเท่านั้น

โดยจุดประสงค์ของผมคือไม่ต้องการคำพูดเอาใจ และต้องการรับรู้ความรู้สึกจริงๆ ของชาวบ้านโดยไม่ต้องเกรงใจ เพื่อที่ผมจะนำไปบอกต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้แก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน และถ้าส่วนใดที่ตัวผมคนนี้สามารถทำให้กับพี่น้องประชาชนได้ทันทีผมก็จะทำให้ทุกท่านโดยไม่ลังเลครับ”

ซึ่งใครในทำเนียบฟังหรืออ่านแล้ว อาจจะรู้สึกแสลงหู-แสลงความรู้สึก

ด้วยเพราะดู ร.อ.ธรรมนัส ดูจะต้องการให้เกิดการเปรียบเทียบระหว่างใครกับใคร อย่างที่ “รู้สึก” ได้ไม่ยาก

ยิ่งกว่านั้น ยังโชว์การลงคลุกคลีปัญหาอย่างถึงลูกถึงคน

ด้วยการลงน้ำที่ลึกถึงระดับอก ลุยแจกสิ่งของให้ชาวบ้านแบบถึงลูกถึงคน

และมีการนำรูปเผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊กและกระจายไปสู่สื่ออย่างกว้างขวาง

สร้างความฮือฮาให้กับผู้พบเห็น

 

การลงลุยน้ำแบบทั้งตัวของ ร.อ.ธรรมนัสนี้

นอกจากจะเน้นภาพความแตกต่างของการลงพื้นที่ ว่าใคร “ถึงลูกถึงคน” กว่ากันแล้ว

ยังถูกตีความในทางการเมืองในทันทีเช่นกัน

ว่า นี่เป็นสัญลักษณ์ของการกลับมาสู้ทางการเมืองแบบสุดตัวอีกครั้งของ ร.อ.ธรรมนัสหรือไม่

และแน่นอน ย่อมถูกนำไปเปรียบเทียบ หรือกระทบกระทั่งกับฝ่ายของ พล.อ.ประยุทธ์อยู่ตลอดเวลา

แม้ทั้ง พล.อ.ประวิตร พล.อ.ประยุทธ์ รวมถึง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา จะยืนยันแล้วยืนยันอีก ไม่มีความขัดแย้งกัน

แต่ภาวะแวดล้อมกลับไปอีกทางด้วยมันมีร่องรอยแห่งความแตกแยกเกิดขึ้นตลอดเวลา

และนับวันจะทวีความรุนแรงขึ้น

โดยเฉพาะเมื่อกลิ่นยุบสภาเริ่มโชยมา

ซึ่งนั่นก็หมายความว่า แต่ละพรรคจะต้องเตรียมตัวเพื่อลุยสมรภูมิใหญ่

แน่นอนว่า ในฐานะเลขาธิการพรรคของ ร.อ.ธรรมนัส ย่อมมีบทบาทสูง ทั้งการกำหนดนโยบาย การกำหนดคนในพรรค พปชร.

อันแตกต่างจาก พล.อ.ประยุทธ์ แม้ว่าจะมีความพยายามต่อสายและสร้างความใกล้ชิดกับ ส.ส.อย่างความพยายามลงพื้นที่ เพื่อมีปฏิสัมพันธ์กับนักการเมือง

แต่ก็คงมิอาจคลุกคลี ใกล้ชิดได้อย่างเลขาธิการพรรค

 

อันนำไปสู่การจับตามองอนาคตของ พปชร.โดยเมื่อมีการเลือกตั้งใหม่

สิ่งสำคัญที่เป็น “หัวใจ” ของการเมือง นั่นก็คือ แต่ละพรรคจะเสนอแคนดิเดตผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคือใคร

โดยเฉพาะพรรค พปชร. ยังมีความเป็นหนึ่งเดียวที่จะเสนอ พล.อ.ประยุทธ์อย่างเป็นเอกภาพหรือไม่

เมื่อ ร.อ.ธรรมนัสประกาศชัดเจนในหลายเวที ว่าการขับเคลื่อนทางเมืองหลังจากนี้ จะทำเพื่อหัวหน้าพรรคคือ พล.อ.ประวิตรเท่านั้น

แม้จะไม่ได้ระบุตรงๆ ว่าจะผลักดันให้ พล.อ.ประวิตรเป็นแคนดิเดตนายกฯ

แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้พูดอย่างชัดเจนว่าจะเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ให้เป็นแคนดิเดตเช่นกัน

สะท้อนถึงความไม่เป็นเอกภาพ และคงมีต่อรอง และวัดกำลังกันอย่างหนัก

ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ก็รับรู้ ในด้านหนึ่งก็พยายามแสดงความสามัคคีในพี่น้อง 3 ป.ด้วยการยืนยันว่าไม่มีปัญหากัน

และที่สุดก็คงจะหนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง

โดยนอกเหนือจะอ้างคำพูดของ พล.อ.ประวิตรที่ว่ายังไงๆ ก็ยังหนุน พล.อ.ประยุทธ์

ขณะเดียวกันก็พยายามหนุนกระแสว่าพรรค พปชร.สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์อยู่ในระดับสูง

ล่าสุด นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตอบคำถาม “ชี้นำ” จากสื่อมวลชนว่า พล.อ.ประยุทธ์เต็มใจให้พรรค พปชร.เสนอชื่อชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกหรือไม่

ซึ่งนายธนกรกล่าวว่า ในเรื่องดังกล่าว พล.อ.ประยุทธ์ระบุว่า “ยินดีและขอบคุณที่พรรค พปชร.ให้ความไว้วางใจ แต่ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับประชาชนว่าจะคิดอย่างไรกับการเลือกตั้งในครั้งหน้า”

ถือเป็น “การเคลม” อย่างรวดเร็ว

แต่ฝั่งฟากของ ร.อ.ธรรมนัสได้ยินแล้วจะเห็นด้วยกับการเคลมนี้หรือไม่ ยังเป็นปัญหาอยู่

 

ขณะเดียวกันในฝั่งฟากการเมือง โดยเฉพาะในฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล ก็ไม่เห็นด้วยกับการรีบเคลมของโฆษกรัฐบาล

โดยเชื่อว่าปัญหาความขัดแย้งในพรรค พปชร.ยังลึกและรุนแรง

อย่างนายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม.และโฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) วิเคราะห์ว่า ที่ ร.อ.ธรรมนัสลงทุนกระโดดลงน้ำระดับอกไปเยี่ยมประชาชน ความจริงนั่งเรือไปก็ได้

แต่การแสดงสัญลักษณ์เช่นนี้ บ่งบอกให้เห็นถึงสัญญาณอะไรบางอย่าง

เพราะคนอย่าง ร.อ.ธรรมนัสไม่ได้เดินเกมหรือก้าวย่างไปแต่ละวันโดยไม่มีทิศทาง

คิดว่าทิศทางนี้เป็นทิศทางสำคัญว่าภายในพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ณ เวลานี้มีความวุ่นวายพอสมควร

อย่างแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค พปชร.ที่มีข่าวว่ายังเป็น พล.อ.ประยุทธ์อยู่นั้น

นายณัฐชาบอกว่า วันนี้ไม่แน่ใจ โดยเมื่อมีการเปลี่ยนประธานยุทธศาสตร์พรรค พปชร. ก็ต้องไปถามประธานคนใหม่ ว่ายังเล็งเห็นแคนดิเดตนายกฯ คนเดิมหรือไม่

“วันนี้ยังมีปัญหาจริงๆ โดยเฉพาะในเรื่อง พล.อ.ประยุทธ์ ว่าใครจะสละเรือ หรือใครจะยังเกาะอยู่ เหมือนหมากเกมหนึ่งที่พรรคพลังประชารัฐจะต้องเดิมพันว่า หากวันนี้สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤตที่บริหารราชการล้มเหลว ทั้งการบริหารราชการในช่วงอุทกภัย ซึ่งมีเสียงต่อว่าจากประชาชนจำนวนมาก แล้วพรรค พปชร.จะสนับสนุนคนแบบนี้ดำรงตำแหน่งนายกฯ ต่อไปหรือไม่ หรือพรรคการเมืองอื่นจากอดีตข้าราชการระดับสูงที่ตั้งพรรคมารองรับ จะนำ พล.อ.ประยุทธ์ไปเป็นแคนดิเดตนายกฯ เสียเอง พรรค พปชร.จะส่งใคร ก็ต้องตั้งคำถามไปยังหัวหน้าพรรค เลขาฯ พรรค หรือประธานยุทธศาสตร์คนใหม่ก็ได้”

นายณัฐชาระบุ

 

ตอนนี้ ทั้งคนในและคนนอกพรรค พปชร.ดูจะเห็นพ้องต้องกัน นั่นก็คือมิได้มองว่าปัญหาเบาบางลง

หากแต่ดำเนินไปแบบ น้ำลึกหยั่งได้ แต่น้ำใจหยั่งยาก

นั่นคือ ในใจของแต่ละฝ่าย โดยเฉพาะฝั่งฟาก พล.อ.ประยุทธ์ และ ร.อ.ธรรมนัส ต่าง “หยั่งยาก” ว่าจะยอมยุติปัญหาภายในพรรคอย่างไร

และจะแตกหักถึงขนาดจะมีการตั้งพรรคใหม่ขึ้นมาอีกพรรค เพื่อที่จะใช้รองรับให้ พล.อ.ประยุทธ์ไปเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีหรือไม่

ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะพรรคใหม่ที่ระบุว่านายฉัตรชัย พรหมเลิศ จะเป็นแกนนำนั้น ก็ถือว่าเป็นมือใหม่มาก

แม้จะมี พ.อ.สุชาติ จันทรโชติกุล ประกาศพร้อมแยกตัวออกจาก พปชร.มาเพื่อเข้าร่วมในพรรคการเมืองใหม่ที่จะชู พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ

แต่ดูเหมือนปฏิกิริยาขานรับโดยเฉพาะจากคนใน พปชร.เป็นไปในทางลบ ระบุว่า พ.อ.สุชาติ จันทรโชติกุล เพื่อนร่วมรุ่นของ พล.อ.ประยุทธ์ ทำปืนลั่นอย่างชวนหวาดเสียว แทนที่จะมีแนวร่วมมาเข้าร่วมขบวน กลับเป็นการถอยหนี

จนไม่รู้ว่าพรรคใหม่จะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่

และจะมีเงื่อนไขที่ดี และสุกงอมเพียงพอจะดึงคนใน พปชร.หรือพรรคอื่นๆ มาร่วมสานฝันให้ พล.อ.ประยุทธ์ รือไม่

หรือคงจะต่อสู้หักโค่นใน พปชร.ต่อไป เพราะคงมิอาจจบลงง่ายๆ หากแต่คงต้องฟาดฟันกันอีกหลายยกเพื่อช่วงชิงอำนาจได้อย่างแท้จริง

และการฟาดฟันนั้นก็คงเป็นไปในทุกรูปแบบ

ตอนนี้มีปัญหาน้ำท่วมกำลังหนัก ซึ่งนอกจากต้องช่วยเหลือชาวบ้านแล้ว คนใน พปชร.และรัฐบาลก็ยังใช้เป็นเวทีต่อสู้กันทางสัญลักษณ์อย่างเข้มข้นด้วย

เพียงแต่การต่อสู้ผ่านสัญลักษณ์น้ำท่วมนั้นถึงจะลึกแค่ไหนก็หยั่งได้

แต่ “ใจ” ของแต่ละฝ่ายหยั่งยาก–ศึกแย่งอำนาจจึงดำเนินต่อไปและยืดเยื้อ