คำ ผกา | เราเป็นเผด็จการหรือเปล่าน้า ?

คำ ผกา

เราเป็นเผด็จการหรือเปล่าน้า?

ฉันไม่มีความรู้เรื่องเผด็จการในประเทศอื่นจึงไม่สามารถบอกได้ว่าเผด็จการของไทยก้าวหน้าหรือล้าหลังกว่าเผด็จการประเทศอื่นๆ อย่างไรบ้าง

และขณะนี้กำลังคิดว่ามีประเทศไหนที่จัดได้ว่าอยู่ภายใต้การปกครองของเผด็จการ

ถ้าจะดูว่าประเทศไหนบ้างที่ยังมีการทำรัฐประหารอยู่เนืองๆ ก็น่าจะเป็นบางประเทศในแอฟริกา เช่น ซิมบับเว หรือกินี เป็นต้น

ในละตินอเมริกา ประเทศที่มีการรัฐประหารล่าสุดน่าจะเป็นฮอนดูรัสในปี 2009 เรียกได้ว่า เหลือน้อยประเทศเหลือเกินที่ยังคงมีการทำรัฐประหารโดยกองทัพอยู่เนืองๆ และประเทศไทยเป็นหนึ่งในนั้น

ถามว่าประเทศอย่างจีน เวียดนาม หรือแม้แต่ลาวถือเป็นประเทศเผด็จการหรือไม่?

ตอบอย่างหยาบๆ คือ ทั้งสามประเทศคอมมิวนิสต์ และในความเป็นคอมมิวนิสต์และพรรคคอมมิวนิสต์นี้เป็น “พลเรือน” ไม่ใช่การปกครองด้วยกองทัพ

ส่วนจะเป็นเผด็จการหรือไม่แค่ไหนอย่างไร ต้องไปวัดกันที่เสรีภาพสื่อ เสรีภาพของพลเมือง ระดับการให้ความสำคัญกับมิติสิทธิมนุษยชนในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง

และอย่างที่เราก็รู้กันดีว่ารัฐบาลของทั้งสามประเทศนี้ทุ่มเททุกศักยภาพไปที่การพัฒนาเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสียด้วยซ้ำ และมุ่งหวังซื้อใจ ปิดปากประชาชนด้วยการพิสูจน์ว่าตนเองสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจได้ แลกกับอำนาจในการปิดปากปิดหูปิดตาประชาชน หรือแม้แต่การจับกุมอุ้มหายผู้ที่เห็นต่างจากรัฐได้โดยปราศจากอุปสรรคการทักท้วงใดๆ

เพราะประชาชนจำนวนมากของประเทศรู้สึกสบายดีกับตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือสัมผัสได้ถึงความเจริญก้าวหน้าบางอย่างที่เป็นผลงานของรัฐบาล

เช่น ประเทศลาวที่เพิ่งเปิดตัวรถไฟความเร็วสูงไปอย่างอลังการจนคนไทยอิจฉา (ลองจินตนาการความรู้สึกคนลาวที่ 20 ปีที่แล้วถูกคนไทยดูถูกว่า “ลาว” มาปีนี้พวกเขาคงสะใจดีที่เห็นประเทศไทยตกทุกขบวน และนั่งมองประเทศลาวมีรถไฟความเร็วสูงกันตาปริบๆ)

ประเทศเผด็จการพลเรือนที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน เสรีภาพของประชาชนที่เห็นต่างจากรัฐบาลอย่างโหดร้าย ทว่าก็ต้องแลกมาด้วยความพยายามจะพิสูจน์ว่ามีความชอบธรรมที่จะทำเช่นนั้นด้วยการสำแดงอิทธิฤทธิ์ว่าตนเองมีความสามารถในการปรนเปรอเลี้ยงดูประชาชนไม่ให้น้อยหน้าใคร เกิดวิกฤตโควิดก็ต้องหาวัคซีนได้ก่อนใคร ได้วัคซีนดีกว่าใคร เข้า COVAX ได้ก็รีบเข้า ทำถนนหนทางสวยๆ ปรับปรุงบ้านเมืองให้เชิดหน้าชูตา เกทับอีกประเทศที่ชอบอวดความเป็นประชาธิปไตยว่ามีปัญญาทำได้แบบกูหรือเปล่า? ทำเช่นนี้เพื่อ “ปราม” และซื้อใจประชาชนให้นิ่งๆ เงียบๆ เวลาที่จะใช้ความเป็น “เผด็จการ” จัดการกับคนเห็นต่างหรือคนที่เป็นศัตรูทางการเมืองของรัฐบาล วิธีการเช่นนี้ มองไปที่กัมพูชาก็ใช่

และทั้งหมดนี้เราจะเห็นว่าเป็นเผด็จการโดยพลเรือน มิใช่เผด็จการทหาร จึงคิดเรื่องเศรษฐกิจและการทำมาหากินเป็นอยู่บ้าง และดูเป็นพลเรือนที่ได้รับการศึกษามาอย่างดีด้วย

แล้วประเทศไทยเป็นเผด็จการแบบไหนกันหรือ? เอ๊ะ หรือเราเป็นเผด็จการหรือเปล่า?

 

สําหรับฉัน ประเทศไทยเป็นเผด็จการซ่อนรูปขับเคลื่อนความเป็นเผด็จการนี้ไว้ด้วยระบบราชการรวมศูนย์แล้วห่มคลุมตัวเองไว้ด้วยเสื้อคลุมประชาธิปไตย

ความน่าสนใจคือพลังของเผด็จการไทย ไม่ได้พยุงไว้ด้วยกฎหมาย ปืน และรถถังเพียงอย่างเดียว แต่พยุงไว้ด้วย

หนึ่ง สารพัด soft power หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “โฆษณาชวนเชื่อ”

สอง ระบบเครือข่ายอุปถัมภ์ผ่านโรงเรียน มหาวิทยาลัย รุ่นพี่ รุ่นน้อง ระบบโซตัสในทุกหน่วยงานราชการ วัฒนธรรมเป็นผู้น้อยคอยก้มประนมกรเอย ทำดีอย่าให้เด่นจะเป็นภัยเอย ไม่ฆ่าน้องไม่ฟ้องนายไม่ขายเพื่อนเอย ระบบอาจารย์แพทย์ อาจารย์หมอ อาจารย์ผู้ใหญ่ที่อุปถัมภ์ “พวก” ของตัวเองขึ้นมาเป็นทอดๆ คายตะขาบให้กันไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่เว้นแม้แต่ในวงการศิลปะ วรรณกรรม

ความเป็นเผด็จการของไทยนั้นแนบเนียนมาก เพราะเครือข่ายผู้ผดุงระบอบเผด็จการไทยออกแบบระบบไว้อย่างแยบยล นั่นคือวางฟังก์ชั่นของตัวเองไว้ในฐานะผู้เปิด-ปิดสวิตช์ประชาธิปไตย

หมายความว่าเราตั้งใจจะบอกกับโลกทั้งใบว่าเราเป็นประเทศประชาธิปไตย

เราเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญว่าเราปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย

เราเคยเป็นแม้กระทั่งแนวต้านของลัทธิคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคนี้ในยุคสงครามเย็น

เรามีการเลือกตั้ง

เรามีระบบรัฐสภา

เรามีผู้แทนราษฎร

เรามีทุกอย่างที่ประเทศซึ่งปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยพึงมี

เครือข่ายผู้ผดุงระบอบเผด็จการไทยจะปล่อยให้มีการเลือกตั้ง มีการทำงานของรัฐสภา ตราบเท่าที่ระบบรัฐราชการยังรวมศูนย์ แข็งแกร่ง

และมันจะดีมากถ้าในสภามันเละๆ เทะๆ พรรคการเมืองอ่อนแอ นักการเมืองโหลยโท่ย บ้าๆ บอๆ

ในขณะที่การเมืองใน “ระบบการเลือกตั้ง” เต็มไปด้วยการซื้อเสียง มีเจ้าพ่อ มีหัวคะแนน มีการยิงหัวคะแนนเป็นว่าเล่น ส.ส.ทำงานแค่ขุดบ่อบาดาล ฉีดยุง ไปงานศพ ในสภาเป็นรัฐบาลผสม เบี้ยหัวแตก

นักการเมืองต้องเอาตัวรอดในระยะสั้นด้วยการหาเศษหาเลยกับเงินทอน โกงได้โกง เพราะต้องทำทุนต่อยอดไปที่การเลือกตั้งสมัยหน้า

นี่คือสิ่งที่เครือข่ายผู้ผดุงระบอบเผด็จการในไทยต้องการจะเห็น ในท่ามกลางความอีลุ่ยฉุยแฉกนี้

พวกเขาจะเล่นบทบาทเป็น “คนดี” จากนั้นก็ใช้เครือข่าย กลไกระบบอุปถัมป์ถักทอให้เกิดงานเขียน วรรณกรรม ศิลปะ ที่ออกมาก่นด่านักการเมือง เขียนนิยายว่าด้วยชนบทอันสวยงาม ผู้คนใสซื่อ แต่ต้องมาถูกเอารัดเอาเปรียบ ขูดรีดจากนายทุน นักการเมืองเลว

เครือข่าย “คนดี” จะทำงานไปเรื่อยๆ ผ่านการปาฐกถา การเขียนหนังสือวิชาการบ้าง กึ่งวิชาการบ้าง พระสงฆ์ออกมาแสดงธรรมบ้าง นักร้อง นักแสดง ผู้กำกับภาพยนตร์ก็จะออกมาทำหนัง ละครที่ว่าด้วยความหายนะของสังคมไทยที่เกิดจากนักการเมืองเลว ความโลภ ความตะกละ ความไม่รู้พอ ความอ่อนแอของชาวบ้านที่ถูกล่อหลอกจากลัทธิบริโภคนิยม ความฟุ่มเฟือยเป็นบ่อเกิดแห่งความยากจน

ความล่มสลายของครอบครัวเกิดจากการดื่มสุรา เล่นการพนัน

ปัญหายาเสพติดเกิดจากความใฝ่ต่ำของปัจเจกบุคคล ความยากจนมาจากความขี้เกียจ

สิ่งนี้แหละคือ soft power ที่เครือข่ายผดุงระบอบเผด็จการไทยทำงานอย่างสม่ำเสมอมาไม่ต่ำกว่าห้าสิบปี

หนังทุกเรื่อง วรรณกรรมที่ได้รับรางวัลทุกเรื่อง แบบเรียนทุกเล่ม ล้วนถูกเขียนขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์นี้

และมันแพร่ขยายไปในทุกอณูลมหายใจของคนไทย

อุดมการณ์เหล่านี้ถูกสอดแทรกลงในทุกมิติแห่งการได้เกิดมาใช้ชีวิตเป็นคนไทย จนแทบจะกลายเป็นดีเอ็นเอของเราไปแล้ว

เรียกได้ว่าเราทุกคนล้วนถูกกล่อมเกลามาให้พร้อมสำหรับการเป็นสลิ่ม

ในท่ามกลางการความอีลุ่ยฉุยแฉกของการเมืองระบบรัฐสภาและการเลือกตั้ง เครือข่าย “คนดี” หรืออีกนามหนึ่งคือเครือข่ายผู้ผดุงระบอบเผด็จการไทย จะเดินสายทำการกุศล ช่วยเหลือคนยากจน ตั้งมูลนิธิ รับบริจาค ให้มีกิจกรรมให้ทาน สงเคราะห์ เพื่อบอกว่า นักการเมืองเลว ส่วนฉันนั้น “ดี”

ทุกองคาพยพของเครือข่ายนี้ทำงานสอดคล้อง รับ-ส่งกันเป็นทอดๆ ไร้รอยสะดุด ตั้งแต่บ้าน วัด โรงเรียน มหาวิทยาลัย ทุกหน่วยงานราชการ ปัญญาชน นักคิด นักเขียน สื่อมวลชน ศิลปินทุกแขนง

และทุก “รางวัล” เชิดชูเกียรติในประเทศไทยนั้นถูกสร้างมาเพื่อ soft power อันนี้

 

ถ้าทุกอย่างดำเนินไปแบบนี้เรื่อยๆ การรัฐประหารก็จะไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้น

ภาพของประเทศไทยคือ ประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย เป็นประเทศด้อยพัฒนา ประชาชนส่วนใหญ่ยากจน ไร้การศึกษา

วัยรุ่นถ้าไม่ท้องวัยเรียนก็ติดยา เกษตรกรอยู่ในวังวนฝนแล้ง น้ำท่วม ภัยหนาวตามฤดูกาล

ความเหลื่อมล้ำสูง มีชนชั้นกลางค่อนข้างสูงจำนวนหนึ่งมีชีวิตเหมือนดาราฮอลลีวู้ด หรูหราร่ำรวย ได้ด้วยสองวิธีคือ

เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายอุปถัมภ์ หรือทำธุกรกิจผิดกฎหมาย จ่ายส่วยให้รัฐราชการ

สุดท้ายความเจริญรุ่งเรือง มั่งคั่งของอุตสาหกรรมคือการทำบุญทำทาน สังคมสงเคราะห์ เพื่อเป็นเวทีให้ “คนดี” ได้ปรากฏตัวมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นที่ยกย่อง เคารพ นับถือกันต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด

หากระบบนี้ของประเทศไทยถูก “รบกวน” ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ เช่น เป็นความผิดพลาดของการออกแบบรัฐธรรมนุญ ไปเอื้อให้มีพรรคการเมืองหนึ่งได้เสียงข้างมากในสภา จนพรรคการเมืองเข้มแข็ง รัฐบาลเข้มแข็ง แล้วดันจะเก่ง บริหารประเทศเข้าเป้า ประชาชนเริ่มลืมตาอ้าปากได้ เกิดกระบวนการ empowering ประชาชนขึ้นมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ผู้คนเริ่มจินตนาการถึงความเป็นไปได้ว่า ประเทศเราดีกว่านี้ได้ คนไทยสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้จริงๆ นะ เราสามารถทำระบบรักษาพยาบาลฟรีได้จริงเว้ย เฮ้ย ปราบมาเฟียมอ’ไซค์รับจ้างก็ทำได้ว่ะ หวยบนดิน อ้าว ปฏิรูประบบราชการ เอ้า กระจายอำนาจกันเวิร์ก ท้องถิ่น เทศบาล อบต. ทำงานโคตรดี ฯลฯ

ทั้งหมดนี้คือภัยคุกคาม “ระบอบเผด็จการซ่อนรูป” ของไทย ณ จุดนี้แหละที่การรัฐประหารจำเป็นต้องเกิดขึ้น และวงจรอุบาทว์นี้ก็เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ล่าสุดคือปี 2557 และทุกอย่างก็เป็นไปได้ดังหวัง ประเทศไทยในฝันของเครือข่ายเผด็จการซ่อนรูปกลับมาอีกครั้ง

ประเทศไทยที่ด้อยพัฒนา ประชาชนไทยที่ยากจน เปราะบาง อ่อนแอ เกษตรกรวนเวียนอยู่กับวงจรฝนแล้ง น้ำท่วม ภัยหนาว ราคาพืชผลเกษตรตกต่ำ คนเรียนจบแล้วตกงาน การกระจายอำนาจไม่เกิด เลือกตั้งท้องถิ่นดีเลย์ เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ยังไม่มีมากี่ปีแล้วคิดดู?

ประเทศไทยเช่นนี้คือประเทศที่พวกเขาทำงานอย่างหนักเพื่อให้มันเกิดขึ้น เพื่อให้เป็นประเทศห้ามพัฒนา และดังนั้น ตราบเท่าที่ทุกอย่างพังทลายได้ที่ การรัฐประหารจึงไม่จำเป็นต้องเกิด

ทุกอย่างที่เราเรียกว่าความล้มเหลวในการบริหาร พวกเขาเรียกมันว่าความสำเร็จในการปกครองบ้านเมือง

ดังนั้น ถามว่าประเทศไทยเป็นเผด็จการหรือไม่

ก็คงต้องตอบว่ามันเป็นเผด็จการที่ไม่เหมือนใครในโลกจริงๆ

เพราะเป็นเผด็จการซ่อนรูปและประสบความสำเร็จในการ “ฝัง” สิ่งที่เป็นจิตวิญญาณของการหล่อเลี้ยงความเป็นเผด็จการเอาไว้ในนามของ “ความเป็นไทย”

เราจะหยุดวงจรนี้ได้ด้วยวิธีเดียวเท่านั้นคือ ผลักดันการเลือกตั้งไปให้ไร้รอยสะดุด

และสร้างวัฒนธรรมการต่อต้านรัฐประหารอย่างไม่มีเงื่อนไขขึ้นมาให้กลายเป็นวัฒนธรรมไทยร่วมสมัยให้จงได้