สวดมนต์ผจญพายุ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่/เหยี่ยวถลาลม

เหยี่ยวถลาลม

 

สวดมนต์ผจญพายุ

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่

 

ชอบความเห็น “สมชัย ศรีสุทธิยากร” อดีต กกต.ที่โพสต์ในเฟซบุ๊กว่า พวกที่เอาหน้า-ไปตรวจเยี่ยมนั้นเลิกเสียทีเถอะ อย่าให้เจ้าหน้าที่ต้องเสียเวลาต้อนรับ ไปตรวจเยี่ยมไม่ได้ช่วยอะไร ไม่ใช่เวลาของตลก

จริงทีเดียว ถ้าการเดินทางไปตรวจราชการนั้นๆ เพียง “เพื่อทราบ” เกี่ยวกับการวางแผนเตรียมการปฏิบัติก็ไม่น่าจะต้องเดินทางไปจริงๆ ประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์เอาก็ได้

และถ้าการเดินทางไปตรวจราชการนั้นๆ เพียงจะบอกให้ช่วยกัน “สวดมนต์” เพื่อผจญกับวิกฤตก็ไม่น่าจะเดินทางไปจริงๆ

วันที่ 26 กันยายน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พกพารัฐมนตรีและ ส.ส.พลังประชารัฐลงพื้นที่ไปตรวจสถานการณ์น้ำท่วมที่ อ.ศรีสำโรง จ.สุโขทัยท่ามกลางการต้อนรับของบรรดาข้าราชการอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง

ระบบราชการไม่ได้เลวร้าย

แรกเริ่มเดิมทีก็ต้องใช้ความคิดสร้างออกแบบมา ถ้าจะมีปรากฏร่องรอยความคร่ำครึล้าหลัง นั่นเป็นเพราะขาดการปรับปรุงพัฒนาระบบที่ต่อเนื่อง

ในประเทศของเราบ้างก็ดีบ้างก็ร้าย แล้วแต่ว่าได้ผู้นำแบบไหน มีเซลล์สมองมากกว่า 84,000 หรือไม่ หรือเป็นคนที่เจริญเติบโตขึ้นมาด้วยวิธีใด ในบางยุคระบบที่ดีอาจถูกบ่อนทำลายด้วยจารีตเก่าๆ ผู้นำหน่วยกับผู้ปฏิบัติงานมีความสัมพันธ์กันเชิงอำนาจมากกว่างานในหน้าที่ ผู้นำชอบให้คนเชื่อฟังมากกว่าให้ช่วยคิด การปฏิบัติราชการจึงเหมือนสวะลอยน้ำไปไม่เกื้อกูลกับเรื่องสร้างสรรค์ ผลร้ายตกกับหน่วยงานและชาวบ้าน

การลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 กันยายน จึงเป็นที่น่าสนใจว่า ไปทำไม ไปทำอะไร ทำอย่างไร ยิ่งเมื่อนายกฯ กล่าวปราศรัย ถึงแม้น้ำจะมาถึงเข่าถึงขาแล้วก็ต้องมีคน “ตั้งใจฟัง” ส่งยิ้มและปรบมือ

“นายกฯ มาเยี่ยมนะจ๊ะ มันเป็นภัยธรรมชาติ เดี๋ยวก็แก้กันไป นี่พายุเพียงลูกเดียว ขอให้ช่วยกันสวดมนต์ อย่าให้พายุเข้ามาอีกเลย ลูกเดียวก็พอแล้ว และขอให้ช่วยกันคิดใหม่ว่า วันข้างหน้าจะอยู่กันอย่างไร จะต้องปลูกบ้าน 2 ชั้น หรือขยับขยายไปอยู่ที่สูงขึ้น รู้ว่ายาก แต่ถ้าตั้งใจฟังรัฐบาลพูดบ้างก็น่าจะไปในทิศทางที่ขึ้นบ้าง”

ไม่มีสคริปต์ ไม่มีใครคาดคิดว่าท่านผู้นำจะไปไกลถึงเพียงนี้!

แต่นายกฯ มุ่งหน้าไปทางใดเล่า

 

กรมอุตุนิยมวิทยาประมาณค่าปริมาณน้ำฝนด้วยเรดาร์ดาวเทียมอุตุนิยมฯ พร้อมกับแจ้งให้รู้ล่วงหน้าทุก 15 นาทีมาตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน ว่าจะมีฝนหนักถึงหนักมากในพื้นที่ใด จังหวัดใด ให้เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก

วิทยาศาสตร์ทันสมัยให้ข้อมูลขนาดนี้ยังไม่มี “การบริหารจัดการที่ดี” จากทางราชการ ทำให้หวนนึกถึงความคิดตื้นๆ ที่ “แทงม้าตัวเดียว” กับการจัดหาวัคซีนโควิดเมื่อปลายปีที่แล้วซึ่งได้ส่งผลร้ายต่อชีวิตประชาชนมาจนถึงทุกวันนี้

ฝีมือรับวิกฤตจากโควิดของรัฐบาลประยุทธ์พิสูจน์ได้ด้วย “สถิติ” คนตาย!

เพิ่มจาก “ปีละ” 70-80 คน

เป็น “วันละ” 100-200 คน

มาคราวนี้ กรมอุตุนิยมวิทยาแจ้งล่วงหน้าว่า 16 จังหวัดจะได้รับผลกระทบจากพายุ “เตี้ยนหมู่” แทนที่จะไหวตัวรับมือ ด้วยการแจ้งข่าวให้เร็วให้ทั่ว และช่วยกันอพยพประชาชนซึ่งเบากว่าการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม กลับกลายเป็น “ชักชวนให้สวดมนต์” กับ “ชี้นิ้ว” ไปที่หัวคนพร้อมกับว่า “ถ้าตั้งใจฟังรัฐบาลพูดบ้าง ก็น่าจะไปในทิศทางที่ดีขึ้นบ้าง”

ผู้ที่มาเฝ้ารอรับนายกรัฐมนตรีในวันที่ 26 กันยายน ล้วนแต่ “ตั้งใจฟัง”

จึงได้เข้าใจและรู้สึกผิด!

 

ผิดที่เกิดมาอยู่ในท้องถิ่นที่ขาดการพัฒนา ผิดที่ตั้งถิ่นฐานอันเป็นทางผ่านของพายุ ผิดที่น้ำมาแล้วก็ไปหมดสิ้นไม่มีเหลือ แล้วหลังจากนี้อีกไม่กี่เดือนก็จะต้องเจอวิกฤต “ภัยแล้ง”

ผิดที่เมื่อค่ำคืนวันที่ 26 กันยายน หลายคน “สวดมนต์” ภาวนาตามที่นายกรัฐมนตรีแนะนำ ขอให้พายุไม่มา หรือขอให้พายุพัดเลี่ยงพ้นไปบ้านอื่น ท้องถิ่น (คนอื่นเดือดร้อนแทน) ผิดที่สวดมนต์แล้วหลับไป ตื่นขึ้นมาอีกทีกลางดึกเมื่อน้ำทะลักมาพัดพาบ้านเรือนข้าวของทรัพย์สมบัติจมหายไปในพริบตา

เช้าวันใหม่กลายเป็นวันสิ้นเนื้อประดาตัว!

ผิดที่เชื่อนายกรัฐมนตรีบอก ให้ขยับขยายไปอยู่ที่สูง กลับได้ยินว่า แม้แต่ชื่อ “อำเภอโนนสูง” น้ำยังท่วมสูง 1-2 เมตร

รู้สึกผิดจริงๆ ที่เชื่อผิดๆ ว่าผู้นำประเทศบุญหนักศักดิ์ใหญ่ เจ้าคนนายคนทรงอิทธิพลมีอำนาจน่าจะมีความคิดความอ่านแตกฉานกว้างไกลมีแผนระยะยาวช่วยประชาชนให้พ้นภัยพิบัติซ้ำซากน้ำท่วม-ฝนแล้งได้

รู้สึกผิดที่คิดว่า ยกโขยงกันมาจากกรุงเทพฯ ขนาดนั้นน่าจะมาให้พึ่งพาในยามคับขัน แต่กลับชี้นิ้วไปที่ชาวบ้าน ออกปากสั่งสอนวิชาชีวิต ให้รู้จักสร้างบ้าน 2 ชั้น ให้รู้จักขยับขยายไปอยู่ในที่สูง ซึ่งก็นับว่ายังปรานี ที่ไม่ได้ชี้นิ้ว “สั่งย้าย” ไปอยู่ดาวดวงอื่น

ระบบความคิดที่ผิดทำให้การบริหารจัดการต่างๆ พิกลพิการไปหมด พ่วงพาข้าราชการและนักการเมืองจำนวนหนึ่งให้เห็นหัวประชาชน “ต่ำ” ทำให้ผู้มีหน้าที่ไม่ได้รู้สึกผิด ไม่ได้รู้สึกละลายกับความบกพร่องทั้งหลาย เพียงได้อยู่ (ในตำแหน่ง) เพียงได้เป็น (ในตำแหน่ง) ทุกคนก็ตั้งมั่นอยู่แดนที่สงบและจำนน

 

ที่”สมชัย ศรีสุทธิยากร” มองผ่านเลนส์แว่นตาหนาเตอะและโพสต์ในเฟซบุ๊กนั้นจึงชอบแล้วด้วยประการทั้งปวง

แต่ก็อยากจะติติงอาจารย์สมชัยว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ “ไดโนเสาร์” ดำรงเผ่าพันธุ์และเคยครองโลกอยู่ได้นานถึงประมาณ 150 ล้านปี สูญพันธุ์ไปเมื่อราว 65 ล้านปี ส่วนมนุษย์หรือ “โฮโมซาเปียน” นี้ เพิ่งกำเนิดบนโลกได้ 3-4 แสนล้านปี

มนุษย์จะดำรงเผ่าพันธุ์ต่อไปได้นานเท่าไดโนเสาร์หรือไม่ – ยังไม่มีอะไรแน่นอน!?!!