ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 1 - 7 ตุลาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | กาแฟดำ |
ผู้เขียน | สุทธิชัย หยุ่น |
เผยแพร่ |
กาแฟดำ
สุทธิชัย หยุ่น
สนทนาธรรมกับ 2 พส.
แบบ ‘สภาพพพ…’ (2)
สัปดาห์ก่อนผมเล่าให้ฟังว่าบท “สนทนาธรรม” และ “สำรวมหลวมๆ” ของผมกับสองพระนักเทศน์รุ่นใหม่ พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ และพระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต แห่งวัดสร้อยทอง เขตบางซื่อ กทม. น่าสนใจว่ามีผลต่อกระแสของสังคมวันนี้มากน้อยเพียงใด
สัปดาห์นี้ผมนำเอาบทสนทนาอีกตอนหนึ่งมาให้ได้อ่านกันครับ
ถาม : โซเชียลมีเดียมีผลอย่างไรกับการสอนธรรมะครับ
พระมหาไพรวัลย์ : ข้อดีของโซเชียลมีเดียมีเยอะเพราะทำให้เราเรียนรู้จากสังคมตลอดเวลา ถ้าเราอยู่ในวัด เราก็จะอยู่ใต้กำแพงวัด การศึกษาธรรมะก็เป็นหน้าที่แหละ แต่การจะสื่อสารกับสังคมนั้นจะต้องเรียนรู้ว่าปัจจุบันสังคมเขามีวิธีคิดแบบไหน เขายอมรับหรือไม่กับคำสอนแบบไหน
แม้เราจะมีธรรมะ แต่ถ้าการสื่อสารไม่ถูก ก็จะกลายเป็นของที่เขาไม่เอาทันที หรือเขาปฏิเสธ
ล่าสุดก็มีหลายประเด็นเช่นเรื่องฆ่าตัวตาย เป็นต้น
ถ้าเราไม่ทำความเข้าใจเชิงสังคมว่ามิติเรื่องการฆ่าตัวตายนั้นมันละเอียดอ่อนมาก เพราะมีคนเชื่อว่าอย่าไปทำเพราะมันทำให้ตกนรกห้าร้อยชาติ มันบาปมหันต์ อาตมาก็ถามว่า ถ้าคนเรามีทางเลือกที่ดีกว่า ใครอยากจะตาย
คนที่เขาตัดสินใจฆ่าตัวตายนั้นแสดงว่าเขาเลือกแล้วว่าการตายดีกว่าที่จะมีชีวิตอยู่
อาตมาเห็นว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนธรรมะเชิงเยียวยา ไม่ใช่เชิงตัดสิน
ทำไมพระพุทธเจ้าจึงพยายามเรียนรู้ถึงความทุกข์ของคน เพราะแต่ละคนมีบริบทความทุกข์ไม่เหมือนกัน
พระมหาสมปอง : ธรรมะดีแล้วไม่มีใครเอาเป็นเรื่องน่าเสียดาย ถ้าธรรมะดีทุกข้อแต่คนหันหลังให้ ไม่เอา เพราะเข้าไม่ถึงเขา เราอยากให้คนเอาธรรมะไปใช้โดยใช้เทคนิคและวิธีการที่เหมาะสม ใครเป็นครูบาจารย์จะรู้เลยว่านี่คือเทคนิค คือวิธีการตรึงคนให้ฟัง
พระมหาไพรวัลย์ : พระอาจจะคิดว่าธรรมะเป็นอะไรสักอย่างที่มันสำเร็จรูป เป็นหัวข้อ เป็นหมวดๆ และคิดว่ามันสามารถเอามาใช้ได้กับทุกคน บำบัดทุกข์ให้กับทุกคน แต่ความจริงไม่ใช่
ถ้าธรรมะเป็นสิ่งที่ไม่ต้องสนใจเรื่องรูปแบบและวิธีการ พระพุทธเจ้าก็คงไม่ต้องแบ่งเป็นบัวสามเหล่าใช่ไหม เพราะท่านเห็นว่าสัตว์แต่ละหมู่นั้นมีอัธยาศัยไม่เหมือนกัน
ดังนั้น รูปแบบที่เราจะเอาธรรมะไปมอบให้คนเหล่านั้นจึงต้องต่างกัน
ถาม : จากนี้ไป พระมหาสมปองคิดว่าบทบาทของตัวเองจะเปลี่ยนไปอย่างไรเมื่อใช้โซเชียลมีเดียในการเผยแผ่ธรรมะมากขึ้น
พระมหาสมปอง : เหมือนที่พระมหาไพรวัลย์ได้พูดเอาไว้ในหลายรายการว่าการฝึกฝนที่ดีที่สุดคือการไลฟ์จริงๆ
ตอนนี้อาตมากำลังลองไลฟ์หลายๆ เวลา ถ้าการไลฟ์ของเรามีประโยชน์ เผื่อมีพี่มีเพื่อนหรือญาติโยมที่มาฟัง อาตมาก็ยินดี
ไม่จำเป็นต้องมีกระแสแรงเหมือนตอนที่เราไลฟ์ร่วมกัน ไม่ต้องมี 2 แสน หรือท่านไพรวัลย์ไลฟ์แต่ละครั้งมีคนมาตามหลายหมื่นเป็นแสน อาตมาตั้งไว้หลักพันหลักหมื่นเท่านั้น
ความจริงตอนแรกก็คิดว่าไลฟ์ใหม่ๆ อาจจะโตวันละ 100-200
ท่านไพรวัลย์เหมือนมาก่อนเวลา มาก่อนกาล
ถาม : อาจจะเป็นเพราะตั้งความหวังไว้สูงหรือเปล่า วันไหนคนดูต่ำกว่าแสนอาจจะเสียกำลังใจหรือเปล่าครับ
เรื่องตัวเลขคนมาตามนี่จะเป็น “กับดัก” สำหรับเราไหมครับ
พระมหาสมปอง : ใช่เลย วันแรกที่ไลฟ์กับพระมหาไพรวัลย์มีคนตาม 2 แสนกว่า ต่อมาอาตมามีดราม่าว่ามี official เข้ามาเยอะ และเขาไม่เห็นคอมเมนต์ของคนตัวเล็กตัวน้อย อาตมาโทร.หาท่านไพรวัลย์เลยว่า “พี่อยากไลฟ์วันเสาร์ด้วย คุยกับคนตัวเล็กตัวน้อย ถ้ายอดตกมาจาก 2 แสนเหลือสัก 5 หมื่น จะรู้สึกอย่างไร”
ท่านไพรวัลย์ตอบเลยว่ายินดีเลยครับ จะได้คุยกับกลุ่ม LGBTQ เป็นต้น
อาตมาดีใจที่น้องตอบอย่างนี้ และเราก็ไลฟ์กัน ของท่านไพรวัลย์ก็ขึ้นมาแสนกว่า ของอาตมาก็ 4 พัน 5 เข้าใจว่า 4 หมื่น 5
อาตมาย้ำกับคนที่เข้ามาฟังเสมอว่าอาตมาอยากให้ธรรมะเป็นเหมือนข้าวที่ต้องกินทุกวัน
ใช่ บางคนอาจจะว่าช้ำ บางคนอาจจะบอกว่านานๆ ทีดีกว่า ถ้าบ่อยจะดูธรรมดา
แต่ท่านไพรวัลย์บอกว่าทำไมเราจะต้องมีความสุขกับสิ่งพิเศษ ทำไมเราไม่มีความสุขกับสิ่งธรรมดา
เราอยากคุยกับโยม อยากให้ธรรมะ อยากให้ข้อคิด
และตอนหลังนี่ตอนจบจะมีการทำสมาธิ 3 นาที แผ่เมตตา ให้พร สวดมนต์ แล้วให้คอมเมนต์มาเลย
คนไทยในต่างประเทศก็เริ่มเข้ามาทักมาทาย
เราอยากทำให้ธรรมะเป็นข้าวที่ญาติโยมขาดไม่ได้
ถาม : ท่านมหาไพรวัลย์มีปัญหาถามตัวเองไหมครับว่าเราจะติดกับดักกับตัวเลขคนที่เข้ามาฟังเราสดๆ ถ้าวันไหนไม่ได้ถึงแสนจะรู้สึกแย่ไหมครับ
พระมหาไพรวัลย์ : อาตมาเน้นเอ็นจอยกับคนที่เข้ามาฟังมากกว่า จริงๆ แล้วเดี๋ยวนี้โทรศัพท์ไม่ได้บอกจำนวนคนมาฟังไลฟ์สดด้วย เพราะไม่ได้ดูจากจอของโน้ตบุ๊ก ดูผ่านโทรศัพท์ บางทีตัวเลขก็ไม่ขึ้น ไม่ขึ้นก็ดีมากเลย เราจะได้ไม่ต้องสนใจตัวเลขว่าคนดูเท่าไหร่
ตราบที่มีคอมเมนต์เข้ามาถามโน่นถามนี่ เราก็ใช้วิธีคุยกับเขา และเราก็ไม่ต้องหวังว่ายอดไลก์มันเท่าไหร่ ให้แล้วๆ ไป เพราะคนที่ดูสดไม่ทันก็มาดูย้อนหลังได้
ที่สำคัญคือการคงคอนเซ็ปต์หรือเรื่องที่จะไลฟ์ต้องให้ได้ธรรมะมากที่สุด และตอบประเด็นคำถามที่คนอยากรู้
ที่ดีคือเมื่อมีคนฟัง ก็มีคนค่อยย่อยคำคม มีการทำโค้ดถ้อยคำ เช่น โค้ดเรื่องซึมเศร้า เรื่องอะไรต่างๆ ซึ่งเราเห็นว่ามีประโยชน์มาก
บางทีอาจจะมีการพูดธรรมะดีกว่านี้อีก แต่ไม่มีคนฟังเลย มันก็หายไป
พระมหาสมปอง : คนสมัยอาตมา เราชอบไปฟังคำคมคนอื่นมาแล้วเราก็เอามาพูด รู้สึกหล่อมาก เท่มาก
แต่ท่านมหาไพรวัลย์ได้มาจากการตอบ จากการอ่านหนังสือเยอะ เป็นวิชาการ และมาพูดให้มันง่ายและกลายเป็นคำคมใหม่ ความคิดใหม่เยอะมาก
รุ่นอาตมาจะจำมาใช้เยอะ ตอนนี้อาตมากำลังฝึกการตอบคำถามให้โป๊ะก่อน ให้มันดลใจ
พระมหาไพรวัลย์ : “โป๊ะ” ไม่ได้แปลว่าโดนใจนะครับพระอาจารย์ “โป๊ะ” แปลว่า “ภาพ” เหมือน “โป๊ะแตก” นะครับ
พระอาจารย์ต้องบอกว่าให้มัน “ปัง”
พระมหาสมปอง : แต่ก่อนมีคนถามว่าคนโกงจะเจอกับอะไรบ้าง เราก็จะตอบว่าก็ต้องเจอกับความไม่น่าเชื่อถือ คนไม่คบหา แต่ก่อนนี้ตอบอย่างนี้ก็ถือว่าดีแล้ว
แต่ทุกวันนี้ อาตมากำลังดูดความรู้ท่านมา ท่านจะบอกว่า “คนโกงเงินเรา เขาจะเจอกับอะไรครับ เขาจะเจอกับอะไรไม่รู้ แต่เราไม่เจอเงินเราแน่ๆ ดังนั้น จงทำสัญญาให้ชัด…”
หรือมีคนถามว่า “อุ้มหมาอุ้มแมวใส่บาตร บาปไหม” รุ่นเรา 40 ขึ้นก็จะตอบว่าถ้ามีเจตนาใส่บาตร ก็ไม่บุญไม่บาปหรอก
แต่ไพรวัลย์ตอบว่า “ถ้าเขาไม่โยนหมาเข้าไปในบาตรก็ใช้ได้…”
นี่คือสิ่งที่เราต้องเรียนรู้จากท่าน ต้องยอมรับเลย
(สัปดาห์หน้า : ธรรมะยุคดิจิตอลเป็นอย่างไร)