ยานยนต์ สุดสัปดาห์ : ซิ่งเบาๆ ชิลๆ กับ ‘เอ็มจี 5’ ใหม่ หน้าตาสปอร์ตแต่เหมาะกับคนใจเย็น

สันติ จิรพรพนิต

ยานยนต์ สุดสัปดาห์

สันติ จิรพรพนิต / [email protected]

 

ซิ่งเบาๆ ชิลๆ กับ ‘เอ็มจี 5’ ใหม่

หน้าตาสปอร์ตแต่เหมาะกับคนใจเย็น

 

แม้จะพอทราบความตามที่ได้ยิน ได้ฟังมาระดับหนึ่ง แต่เมื่อผมได้ทดลองขับ “เอ็มจี 5” ใหม่

ต้องยอมรับว่าอัตราเร่งตีนต้นนั้นค่อนข้างอืดพอสมควร แต่ยังถือว่ามีทางแก้เล็กๆ ที่ไม่ต้องลงทุนอะไร

“ยานยนต์ สุดสัปดาห์” ฉบับนี้จะพาผู้อ่านไปร่วมลองของ “เอ็มจี 5” เก๋งหน้าตาสปอร์ตคูเป้ปราดเปรียวสุดๆ

เรียกว่าแรกที่เห็นในวันเปิดตัว หลงรักทันที แม้มองบางจุดจะคล้ายคลึงกับรถหลายๆ แบรนด์ยุโรปที่เราคุ้นตาก็ตาม

ไปดูภาพรวมคร่าวๆ กันก่อน ที่ได้มาเป็นรุ่น “X” ตัวท็อป กระจังหน้าแบบ 3 มิติ “Digital Burning Grille” เอกลักษณ์การออกแบบใหม่ล่าสุดของเอ็มจี ตัวถังเพรียวยาวตามสไตล์รถยนต์สปอร์ตคูเป้ซีดาน

ไฟหน้าแบบ LED Projector เปิด-ปิดอัตโนมัติ พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวัน

ไฟท้ายแบบ LED ดีไซน์ Leopard Claw และไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED

ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ดีไซน์ใบพัด 5 ก้าน

ติดตั้งหลังคาซันรูฟ มีท่อไอเสียสปอร์ตซ้าย-ขวา แต่เป็นอุปกรณ์ประดับให้สวยงามเท่านั้น เพราะท่อไอเสียของจริงอยู่ใต้ท้องรถด้านหลัง

 

ภายในสไตล์สปอร์ต พวงมาลัย 3 ก้านพร้อมระบบมัลติฟังก์ชั่น ด้านซ้ายควบคุมเครื่องเสียง ด้านขวาเป็นระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ

หน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบดิจิตอลขนาด 7 นิ้ว

แผงคอนโซล 3D Diamond Design ลวดลายสปอร์ตพรีเมียม

ดีไซน์คอนโซลกลางแบบ DRIVER-FOCUS COCKPIT

เบาะหนังทรงสปอร์ตเล่นสีดำ-แดง เบาะคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง

ตรงกลางเป็นหน้าจอ Touchscreen ขนาด 10 นิ้ว ออกทรงแบนยาว ซึ่งถือว่าเป็นตัวไฮไลต์ก็ว่าได้ เพราะควบคุมระบบต่างๆ ของรถได้เกือบทั้งคัน

หน้าจอตัวนี้จะติดตั้งในมุมที่แปลกตาหน่อยเพราะจะวางไว้บริเวณช่องแอร์ของรถทั่วไป ทำให้ต้องขยับช่องแอร์ตรงกลางลงมาค่อนข้างต่ำกว่าปกติที่คนไทยคุ้นชิน

ต่ำจากหน้าจอเป็นปุ่มควบคุมระบบต่างๆ

หัวเกียร์ทรงสวยได้อารมณ์รถยุโรป มีปุ่มเบรกมือไฟฟ้า

พร้อมเจาะช่องแอร์ผู้โดยสารตอนหลังมาให้ด้วย

เครื่องยนต์รุ่นนี้เป็นแบบเบนซิน 1.5 ลิตร กำลังสูงสุด 114 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 150 นิวตัน-เมตร ทำงานร่วมกับระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT 8 สปีด

ระบบช่วงล่างแบบ EURO TUNING SUSPENSION ด้านหน้าแม็กเฟอร์สันสตรัต/เหล็กกันโคลงด้านหลังทอร์ชั่นบีม

 

ขึ้นรถไปนั่งพนักโอบกระชับพอดีๆ รุ่นนี้มีระบบกุญแจนิรภัย Immobilizer และระบบล็อกประตูอัตโนมัติ (Speed Sensing Door Lock) สามารถเปิด-ล็อกจากปุ่มที่มือจับด้านนอกได้

ส่วนรีโมตสามารถเชื่อมกับระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ “i-SMART” รุ่นล่าสุด ที่มีเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด Digital Key

ใช้งานรถผ่านกุญแจดิจิตอลโดยรับ-ส่งโค้ดจากแอพพลิเคชั่น i-SMART สั่งการเปิด-ปิด และสตาร์ตรถยนต์

ส่งกุญแจดิจิตอลให้กับผู้อื่นเพื่อใช้งานรถยนต์ผ่านแอพพลิเคชั่น i-SMART Smart Command หรือระบบสั่งการอัจฉริยะ

ระบบสั่งการผ่านคำสั่งเสียงภาษาไทย ควบคุมการทำงานของระบบปรับอากาศผ่านทางสมาร์ตโฟน ค้นหาข้อมูลจุดท่องเที่ยวน่าสนใจ และวางแผนการเดินทางจากสมาร์ตโฟนส่งเข้าหน้าจอทัชสกรีนของรถ ฯลฯ

กดปุ่มสตาร์ตเสียงเครื่องยนต์ไม่ดังมาก แต่ตอนออกตัวนี่แหละที่ผมอึ้งไปนิดๆ แม้จะพอทราบเลาๆ มาก่อนแล้ว

เพราะอัตราเร่งค่อนข้างช้า ผิดกับรูปลักษณ์ภานนอกมากๆ

แต่อย่างที่บอกไว้ตอนต้น ทางแก้ง่ายๆ คือปรับเกียร์มาเป็นแบบสปอร์ต หรือแมนนวล โดยดึงเกียร์เข้าหาตัวผู้ขับขี่ แล้วขยับขึ้น-ลงเพื่อเพิ่ม-ลดเกียร์

หากใช้โหมดสปอร์ตออกตัวพอจะลากรอบและเปลี่ยนเกียร์ในเวลาที่เหมาะสม จะได้อัตราเร่งที่ดีขึ้น

ส่วนถ้าใครคิดว่าไม่ได้รีบไปไหน เน้นขับรถสวย ไม่ใช่รถซิ่ง ก็ถือว่าพอทำใจได้

 

เมื่อความเร็วค่อยๆ ปรับเพิ่มขึ้นไปราวๆ 50-60 กิโลเมตร/ชั่วโมง อัตราเร่งช่วงกลางมาเร็วพอสมควร และจะค่อยๆ ช้าลง เมื่อเพิ่มน้ำหนักเท้าที่ความเร็วปลาย

ความเร็วสูงสุดที่ผมทำในทริปนี้อยู่ที่ปริ่มๆ 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ใช้เวลานานพอสมควร

และต้องกระชับพวงมาลัยให้แน่นขึ้น

จริงๆ ตอนแรกไม่ได้คิดอะไรมาก กระทั่งมาดูข้อมูลละเอียดพบว่าสามารถตั้งน้ำหนักพวงมาลัยได้ ที่เบา-มาตรฐาน-มั่นคง

ช่วงทดสอบตอนแรกน้ำหนักพวงมาลัยอยู่ที่ “เบา” จึงไม่น่าแปลกที่เวลาขับความเร็วสูงจะต้องกระชับมือเป็นพิเศษ

แต่เมื่อปรับมาที่ “มั่นคง” อาการหวิวๆ น้อยลงเยอะทีเดียว

ใครที่ได้เป็นเจ้าของคงสามารถตั้งน้ำหนักพวงมาลัยได้ตามที่ตัวเองชื่นชอบ

ส่วนตัวผมหลังจากทดสอบความเร็วปลายแล้ว ปรับกลับมาโหมดพวงมาลัยเบา เหมือนเดิม เพราะเป็นความชอบส่วนตัว

ระบบช่วงล่างถือว่าดีทีเดียว ทั้งการเข้าโค้ง หรือเปลี่ยนเลนกะทันหัน แต่ในย่านความเร็วสูงต้องระมัดระวัง

ส่วนหนึ่งเข้าใจว่าน่าจะมาจากยางติดรถ หากเปลี่ยนใหม่เป็นแบรนด์ดีๆ ราคาสูงหน่อย น่าจะช่วยได้เยอะ ทั้งเรื่องความมั่นคง และการเก็บรายละเอียดจากพื้นถนน

 

 

หน้าจอทัชสกรีนใช้งานง่าย คมชัดพอประมาณ

ที่ชอบคือการส่งภาพจากกล้องรอบคัน มาให้เห็นเมื่อขับในความเร็วต่ำ โดยสามารถปรับเปลี่ยนมุมมองได้ง่ายๆ เพียงกดที่หน้าจอซึ่งจะขึ้นรูปรถ

อีกส่วนที่ถือว่าเด็ดดวงคือเวลาเปิดไฟเลี้ยวในความเร็วต่ำ เช่น เข้าซอยไม่ว่าจะเลี้ยวซ้าย หรือขวา กล้องจะส่งภาพจากมุมมองซ้าย-ขวา มาให้เราเห็นด้วย

ปลอดภัยมากๆ โดยเฉพาะเวลาเข้าซอยแคบๆ หรือตอนกลางคืนที่ไม่แน่ใจว่าจุดที่เราเลี้ยวมีอุปสรรคบนพื้นหรือเปล่า

ยิ่งหากเป็นมือใหม่ เป็นตัวช่วยชั้นดี ไม่ต้องเสียวว่าจะตีวงแคบจนไปครูดกับฟุตปาธ

การมีมุมมองเวลาเลี้ยวทั้งซ้าย-ขวา น่าจะเป็นเจ้าแรกๆ กระมังในเซ็กเมนต์นี้ เพราะปกติผมจะเห็นมีแต่มุมมองด้านซ้ายเท่านั้น

ภาพรวมถือว่า “เอ็มจี 5” ใหม่ เหมาะกับคนที่ชอบรถสวย แต่ไม่ได้ใจร้อนขับหวือหวา แซงซ้ายป่ายขวาไปเรื่อย

ยิ่งหากเทียบกับราคาและออปชั่นที่ได้มา ถือว่าคุ้มค่าทีเดียว

รุ่นท็อป (X) ราคา 689,000 บาท อีก 2 รุ่นที่เหลือคือ C ราคา 559,000 บาท และ D ราคา 599,000 บาท

ที่ผมลุ้นตอนนี้ก็คือ เอ็มจีวางแผนจะออกรุ่นพิเศษยัดเครื่อง 1.5 เทอร์โบ ลงมาให้รุ่นนี้หรือเปล่า เพราะมีเครื่องตัวนี้อยู่แล้ว

หากมาจริงแม้ราคาจะแพงขึ้น น่าจะมีเสียงตอบรับมากพอสมควร