สงครามยังไม่สงบ/ลึกแต่ไม่ลับ จรัญ พงษ์จีน

ลึกแต่ไม่ลับ

จรัญ พงษ์จีน

 

สงครามยังไม่สงบ

 

“สถานการณ์ศึกซักฟอก” 6 รัฐมนตรี แม้จะจบบริบูรณ์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่สงครามยังไม่สงบ คลื่นยังสาดซัด ลมกระโชกแรง กลิ่นความขัดแย้งยังร้อนแรง โดยเฉพาะ “แม่น้ำสายใหญ่-พรรคพลังประชารัฐ”

เนื่องเพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจในคาบนี้ เบื้องหลังการถ่ายทำ “ลึกลับซับซ้อน” ซ่อนเงื่อน ดุจเดียวกับการวางแผน “ปฏิวัติ-ยึดอำนาจ” กลายๆ เพื่อตีกำแพงทุบป้อมค่ายหมายเผด็จศึกรัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ให้จนกระดาน จำนนด้วยการ “ลาออก”

“รัฐประหาร” ยุคสมาร์ตโฟน ไม่ต้องใช้กำลังพล รถถัง อาวุธยุทโธปกรณ์ ใช้ “กล้วย” เป็นเครื่องทุ่นแรง เผด็จศึกผู้ก่อการได้หวานคอแร้ง คืนหมาหอน มีข่าวว่าเกิดรายการเกทับบลั๊ฟฟ์แหลก แจกกันมือระวิง รัวๆ สู้กันมันหยด ในที่สุด ฝั่งกองเชียร์ “บิ๊กตู่” ที่หน้าตักเวิร์กมากกว่า สามารถระดม “กล้วย” ล้มแผนยึดอำนาจเงียบได้สำเร็จในวินาทีสุดท้าย ดับฝัน “เหล่าลูกแกะ” ที่ริเป็น “ราชสีห์” กลางวันแสกๆ

“ปฏิวัติ” หมายถึงกลุ่มคนที่คิดไม่ซื่อและกระทำการต่อต้าน ล้มล้างอำนาจรัฐ หาก “ยึดเมือง” สำเร็จสมประสงค์ จะสถาปนาตัวเอง รวบอำนาจ จะยึดเก้าอี้ตัวไหน ใช้ชื่ออะไรก็ได้ตามที่ตัวเองต้องการ เข้ามาปกครองประเทศ เสพสุข สืบแทน

ตามข่าว ที่จะเข้ามาหยิบชิ้นปลามัน ประกอบด้วย “สร.1” ตามช่องทางที่ 2 “ว่าการมหาดไทย-ว่าการคลัง-ว่าการศึกษาธิการ-ว่าการพลังงาน” แบ่งเค้กในฝันกันเรียบร้อย

แต่ทุกอย่างไม่ลื่นไหล เกมสะดุดปังตอ แผนล่มกลางกระดาน ตามกฎเหล็ก การปฏิวัติ รัฐประหาร หากถูกปราบปราม จับได้ไล่ทันเสียก่อน จะแปรสถานภาพเป็น “กบฏ” หัวหน้า ผู้นำก่อการ จะถูกจับกุมคุมขัง โทษสูงสุดถึงประหาร

ศึกพลังประชารัฐที่จบข่าวลงโดยชัยชนะของ “พล.อ.ประยุทธ์” แค่สำเร็จโทษ ปลดฟ้าผ่า “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” ออกจาก รมช.เกษตรและสหกรณ์ และ “นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์” รมช.แรงงาน โดนลูกหลง โดยที่รายหลัง เจ้าตัวเองยังมึนๆ งงๆ ว่าหนูโดนเชือดด้วยสาเหตุอันใด

อย่างไรก็ตาม ดังที่บอก หลังศึกซักฟอก “พี่น้อง 3 ป.” ที่กอดคอสามัคคีกันมายาวนาน ในสนามรบ เกิดสภาพร้าวลึกใน “สนามการเมือง” แม้ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” จะพยายามโชว์หวาน เล่นละครจูบปาก “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” พี่ใหญ่ ปากก็จูบกันไป แต่เบื้องลึกในใจส่งระเบิดล่อกันตูมๆ

สรุป คำว่าการเมือง มันไม่ง่ายเหมือนหนังไทย ที่คุณทนายหิ้วตังค์ไปให้ลูกสาวคนสวน แล้วบอกว่าอย่ายุ่งกับนายน้อยอีก ทุกอย่างจบ

 

แถมรอยร้าวของพี่น้อง 3 ป.ในคาบนี้ดูประหนึ่งว่า ดีกรีความขัดแย้งจะเพิ่มความเข้มข้น และมีนัยยะว่า ยังต้องดำเนินสืบไป ความร้อนแรงยกระดับหนักขึ้นๆ สาเหตุและปัจจัยค่อยๆ แตกไลน์ไปหลายประเด็น

เช่น ล่าสุด ทาง “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ต้องการทอดสะพานเข้าไปมีเอี่ยวใน “พปชร.” ไม่อยากจะยืน “ตีนลอย” กลัวอันตราย ดุจเดียวกับที่ “แก๊ง 4 กุมาร” ลูกข่ายของ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” โดนเช็กบิลมาแล้ว

ปรากฏว่า หน้าแตกหมอไม่รับเย็บ เมื่อ “พปชร.” ที่ “พี่ป้อม” เป็นหัวหน้าอยู่นั้น ไม่เพียงแต่ไม่ปลดระวาง “ร.อ.ธรรมนัส” จากเลขาธิการ “นฤมล” เหรัญญิกพรรค

“พล.อ.ประวิตร” ยังเสริมแกร่ง “ชงเองชิมเอง” ตั้ง “บิ๊กน้อย-พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุทธยา” อดีต “ผู้ช่วย ผบ.ทบ.” คู่ชิงดำเก่าในตำแหน่ง ผบ.ทบ.กับ “บิ๊กตู่” ก่อนที่ฝ่ายหลังจะเฉือนจมูกเข้าป้ายไปแค่เส้นยาแดงผ่าแปด กลับมานั่งประธานยุทธศาสตร์พรรค พปชร. เสียบเก้าอี้แทน “สมศักดิ์ เทพสุทิน” จากกลุ่มสามมิตร

เปิดปฏิบัติการรวดเร็วฉับไวดุจกามนิตหนุ่ม ทุกย่างก้าว

“บิ๊กป้อม” ประกาศเสียงดังฟังชัด จะขอทำหน้าที่หัวหน้า พปชร.ต่อไป เมื่อวันที่ 13 กันยายน เช้าอีกวันแต่งตั้ง “บิ๊กน้อย” นั่งประธานยุทธศาสตร์พรรค ถัดไปอีกไม่กี่อีดใจ “ผู้กองมนัส” และ “ดร.แหม่ม” ที่หลบไปเลียแผล โผล่ที่รัฐสภาไปร่วมประชุมพรรค พปชร.กับ “พล.อ.ประวิตร”

วันที่ 17 กันยายน เกิดเหตุหวือหวาน่าตื่นเต้นขึ้น ในวาระที่ “รัฐสภา” พิจารณาร่าง “พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ” กฎหมายที่เกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษาเด็กไทย เกิดชอยส์คลื่นลมปั่นป่วนขึ้นใน “พปชร.” อีกครั้ง สะกิดสีข้างเตือน “บิ๊กตู่” ว่า “อยู่กลางทะเลใหญ่ อย่าไว้ใจทะเลสงบ” เป็นอันขาด

เมื่อมีมือดีแอบส่งซิกปล่อยแถวลูกหาบ เดินทางกลับภูมิลำเนา อ้างว่า ภารกิจในการพิจารณาสิ้นสุดแล้ว รอไว้ลงมติรับหลักการ “พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ” ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน

บรรดา ส.ส.พากันเผ่นออกจากห้องประชุมเพื่อเดินทางกลับต่างจังหวัด เหลือผู้ทรงเกียรติ “หะหร่อมหะแหร่ม” พอฝ่ายค้าน-ส.ว.อภิปรายเสร็จ ถึงคิวลงมติ มีการเช็กขุมกำลัง

เสียงรัฐบาลแพ้ขาดท้าย หาก “พ.ร.บ.สำคัญ” ที่เสนอโดยรัฐบาลถูกน็อกกลางอากาศ แพ้โหวตคาเวที มีอยู่สถานเดียวโดยมารยาทต้อง “ลาออก”

ตัวเลขกลมๆ จากผู้สันทัดกรณี ระบุว่า “รัฐสภา” ในขณะนี้ มีสมาชิกเท่าที่มีอยู่ 730 คน จาก “สภาล่าง” 480 คน “สภาบน” 250 คน

แต่ช่วงนั้น “ผู้แทนราษฎร” ร่มกางเหลือเพียง 191 คน จากยอดเต็ม เท่ากับขาดหายไปถึง 3 ใน 5 ขณะที่ “ส.ว.” อยู่ในห้องประชุม 165 คนจาก 250 คน สัดส่วน 2 ใน 3

หากปล่อยให้มีการลงมติรับร่าง พ.ร.บ. แพ้ฝ่ายค้านแหงแก๋

บังเอิญว่า “วิป ส.ว.” เมื่อเช็กยอดขุมกำลังแล้ว ทำหน้าที่เป็น “ตัวช่วย” ให้รัฐบาล “บิ๊กตู่” ด้วยการส่งสัญญาณให้บรรดา “วุฒิสมาชิก” บางส่วนที่มาร่วมประชุม “ไม่ต้องแสดงตน”

เมื่อ ส.ว.บางส่วนงดแสดงตน …สภาเลยล่ม เพราะที่ประชุมไม่ครบองค์ …เมื่อที่ประชุมไม่ครบองค์ จึงไม่มีการลงมติ …เมื่อไม่มีการลงมติ “พ.ร.บ.สำคัญที่เสนอโดยรัฐบาล” ก็ไม่ต้องแพ้โหวต

เมื่อไม่มีการแพ้โหวต เท่ากับว่ากฎหมายสำคัญที่เสนอโดยรัฐบาล “บิ๊กตู่” แค่เลื่อนโปรแกรมลงมติ “ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ” ออกไปเป็นปลายเดือนพฤศจิกายน

แม้ว่าขณะนี้ สภาผู้แทนราษฎรปิดเทอมชั่วคราว แต่ใน พปชร. อาณาจักรที่เคยโอ่อ่า อบอุ่น กำลังคุกรุ่นไปดวงกลิ่นเลือด มีการประลองกำลังกันไม่รู้จักจบ

ขนาด “พล.อ.ประยุทธ์” น้องเล็ก กับ “พล.อ.ประวิตร” พี่ใหญ่ ที่เคยอุ้มกระเตงกันมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กเอ๋ยเด็กน้อย ลมพัดทางไหนเจ้ายังไม่รู้เลย

บัดนี้ ทุกอย่างตาลปัตร โลกมืดหมดแล้ว โอกาสค่ำคืนและวันจะกลับมาขาว-สะอาดเหมือนเดิม… “โลกสวย” ไม่มีอีกต่อไปแล้ว