ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 กันยายน 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | โครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งพาตนเอง |
เผยแพร่ |
สมุนไพรเพื่อสุขภาพ โครงการสมุนไพรเพื่อการพึงพาตนเอง
มูลนิธิสุขภาพไทย / www.thaihof.org
เรียนรู้และเข้าใจ “กระท่อม”
กระท่อมถูกกักตัวเป็นยาเสพติดให้โทษนาน 41 ปี เพิ่งหลุดออกมาจากบัญชียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 ของ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ซึ่งมีผลเป็นทางการเมื่อวันที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมา
กระท่อมเป็นที่รู้จักกันดีทางภาคใต้ของไทย ชื่อท้องถิ่นภาคใต้เรียกว่า ท่อม ส่วนทางภาคกลางเรียกว่า กระท่อง หรือ อีถ่าง
กระท่อมเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ปานกลาง มีแก่นเป็นไม้เนื้อแข็ง สูง 10-15 เมตร ใบคล้ายใบกระดังงา มีชนิดก้านใบแดงและใบเขียว
ดอกกลมโตขนาดเท่าผลพุทรา
ใบเป็นใบเดี่ยวสีเขียว เรียงตัวเป็นคู่ตรงข้าม
พบได้ในบางจังหวัดของภาคกลาง เช่น ปทุมธานี
แต่จะพบมากในป่าธรรมชาติบริเวณภาคใต้ เช่น สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรัง สตูล พัทลุง สงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และตอนบนของประเทศมาเลเซีย
หมอพื้นบ้านหรือหมอแผนโบราณ ใช้กระท่อมเป็นตัวยาในตำรับพวกประเภทยาแก้ท้องเสีย เช่น ตำรับยาประสะกระท่อม เป็นต้น
แม้ใบกระท่อมให้ผลการออกฤทธิ์ที่อาจมีประโยชน์ทางยาได้ แต่ทำให้เสพติด และมีผลเสียต่อสุขภาพได้เช่นกันหากใช้ติดต่อกันนานๆ
ชาวบ้านมีวิถีชีวิตที่นิยมกินกระท่อมโดยการเคี้ยวใบสด หรือเอาใบมาย่างให้เกรียมและตำผสมกับน้ำพริกกินเป็นอาหาร
กินแล้วช่วยให้มีแรงทำงานและสามารถทนตากแดดอยู่กลางแจ้งได้เป็นเวลานาน โดยที่ไม่รู้สึกเหนื่อย
ชาวมลายูใช้ใบกระท่อมตำพอกแผล และใช้ทั้งใบเผาให้ร้อนวางบนท้องรักษาโรคม้ามโต มีการใช้กระท่อมเพื่อทดแทนฝิ่นในท้องที่ซึ่งหาฝิ่นไม่ได้
ในประเทศนิวซีแลนด์มีการใช้ใบกระท่อมเพื่อควบคุมการติดฝิ่น
ใบกระท่อมมีฤทธิ์กระตุ้นประสาท เมื่อกินบ่อยๆ นานๆ ทำให้เสพติดได้ เมื่อกินเป็นเวลานานจึงจะทำให้สีผิวหนังของเรานั้นเปลี่ยนสีได้ ทำให้ผู้รับประทานมีผิวเข้มขึ้นหรือออกดำคล้ำ
และควรรู้ว่าการกินใบกระท่อมแบบทั้งก้านจะทำให้เกิดอาการ “ถุงท่อม” ในลำไส้ได้เหมือนจะมีอะไรคาอยู่ในลำไส้ เนื่องจากก้านไม่สามารถย่อยในกระเพาะของเราได้ และไม่สามารถขับถ่ายออกมาได้ เป็นพังผืดขึ้นมาหุ้มรัดอยู่โดยรอบก้อนกากกระท่อมนั่นเอง จึงทำให้เกิดเป็นก้อนถุงขึ้นมาในลำไส้
บางรายที่กินต่อเนื่องนานๆ อาจจะมีอาการหลอน หวาดระแวง พูดไม่รู้เรื่อง
แม้ใบกระท่อมให้ผลการออกฤทธิ์มีประโยชน์ทางยา แต่ก็ควรเรียนรู้และเข้าใจด้วยว่า หากกินกันมากๆ กินต่อเนื่องนานๆ ทำให้เสพติดและมีผลเสียต่อสุขภาพ
หากจะใช้อย่างชาญฉลาดก็ควรรู้ว่าในกระท่อมมีฤทธิ์ทางเภสัชที่เรียกว่า ไมทราไจนีน (Mitragynine) ช่วยลดอาการเจ็บปวดได้ เมื่อให้กินทางปากในขนาด 200 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ซึ่งมีฤทธิ์เทียบเท่ากับการได้รับมอร์ฟีนในขนาด 5 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
สารเสพติดที่พบในใบกระท่อม คือ ไมทราไจนีน (Mitragynine) เป็นสารจำพวกอัลคาลอยด์ ออกฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง (CNS depressant) เช่นเดียวกับยาเสพติดประเภท psilocybin LSD และยาบ้า เวลานี้ได้ปลดล็อกออกจากพืชเสพติดให้โทษประเภท 5 แล้ว
ในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พบว่าในตำรับยาโบราณ ในคัมภีร์หลายเล่ม ได้บันทึกตำรับยาที่มีกระท่อมอยู่ด้วย เช่น ตำราพระโอสถพระนารายณ์ ตำรายาโรงพระโอสถ ตำรายาศิลาจารึกวัดโพธิ์ ตำราแพทยศาสตร์สงเคราะห์ ตำรายาพระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ เจ้ากรมหมอหลวง ตำราเวชศึกษาของพระยาพิศณุประสาทเวช ฯลฯ
กระท่อมจะมีประโยชน์ตรงที่ปลูกได้ทั่วไปและใช้ให้ถูกวิธีเป็นยาสมุนไพรที่ดี หรือการใช้อย่างจำกัด คือการกินกระท่อมแต่น้อยๆ ใช้ในคราวจำเป็น จะได้สรรพคุณยาสมุนไพรช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสดชื่นขึ้น ลดอาการเมื่อยล้า ช่วยให้ใช้แรงทำงานหนักได้นาน
แต่ถ้ากินจนเพลิน กินมากไป กินบ่อยๆ ก็ได้ผลจากฤทธิ์กล่อมประสาทและทำให้เสพติดได้
และมีผลทำให้ท้องผูก คลื่นไส้อาเจียน ผิวหนังคล้ำลง นอนไม่หลับ (ร่างกายตื่นตัวสูง)
และถ้าไม่ระวังกินมากเกินไป อาจมีอาการกระวนกระวาย ความดันโลหิตสูง มีผลทางจิต ก้าวร้าว และปัญหาทางจิตอื่นๆ ได้
นอกจากนี้ มีข่าวแพร่กระจายไปทั่วว่า กระท่อมสามารถใช้รักษาโควิด-19 ได้
ซึ่งไม่เป็นความจริง
เพราะยังไม่มีงานวิจัยใดสนับสนุนว่ากระท่อมสามารถรักษาโควิด-19 ได้
แต่เนื่องจากอาการที่สำคัญอย่างหนึ่งของคนที่ได้รับเชื้อโควิด-19 คืออาการปวดเมื่อยตามเนื้อตัว หงุดหงิด จึงมีรายงานผลการศึกษา 1 ฉบับ ตีพิมพ์ใน Frontiers in Psychiatry เมื่อวันที่ 19 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2563 และที่ได้ทำการศึกษาเป็นกรณีรายบุคคลในผู้ชาย เป็นคนอเมริกันอายุ 29 ปี ติดเชื้อโควิด-19 ได้รับยาตามแผนการให้ยารักษาโควิดทุกอย่าง แต่ยังคงมีอาการเจ็บปวด เมื่อยตามเนื้อตัวและรู้สึกไม่สบายตัวจนต้องนอนซมติดเตียง
เนื่องจากผู้ป่วยรายนี้เคยใช้กระท่อมมา 4-5 ครั้ง ก่อนติดโควิดประมาณ 14 เดือน จึงตัดสินใจใช้ใบกระท่อมที่บดใส่มาในแคปซูล ที่มีจำหน่ายในท้องตลาด มากินในขนาด 2.75 กรัม วันละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 3 วันติดต่อกัน
ผลปรากฏว่าอาการปวดเมื่อยหายไป สบายตัวมากขึ้น
ในกรณีนี้จะเห็นได้ว่า กระท่อมนำมาใช้เพื่อลดอาการปวดเมื่อยตามตัวเท่านั้น ไม่ได้ใช้เพื่อทำลายเชื้อโควิดแต่ประการใด
พอปลดล็อกกระท่อม คนก็สนใจกันมาก และลักษณะของดอกกระท่อมมีรูปร่างคล้ายกับไวรัสโควิด-19 ก็ฮือฮาเกิดกระแสข่าวลือว่ากระท่อมรักษาโควิดได้ ซึ่งเป็นจินตนาการที่ไม่เป็นความจริง ทำให้ผู้คนหลงเชื่อ นำไปสู่ผลกระทบด้านลบต่อสุขภาพ และเกิดการค้าขายสมุนไพรที่ไม่ส่งเสริมการพัฒนาให้ใช้ประโยชน์สมุนไพรอย่างยั่งยืน
และไม่ช่วยการดูแลสุขภาพที่ดีเลย