สนทนาธรรมกับ 2 พส. : ‘สำรวม’ แบบ ‘สภาพพพ…’ (1)/กาแฟดำ สุทธิชัย หยุ่น

สุทธิชัย หยุ่น

กาแฟดำ

สุทธิชัย หยุ่น

 

สนทนาธรรมกับ 2 พส.

: ‘สำรวม’ แบบ ‘สภาพพพ…’ (1)

 

สองพระนักเทศน์รุ่นใหม่ พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ และพระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต แห่งวัดสร้อยทอง เขตบางซื่อ กทม. สร้างกระแสในโซเชียลมีเดียด้วยการไลฟ์สดด้วยลีลา, ภาษาและเนื้อหาที่สร้างความสนใจและบทวิวาทะกันร้อนแรงในสังคม

ผมถือว่านี่คือ “ความป่วน” หรือ disruption แบบหนึ่งที่เทคโนโลยีอย่างโซเชียลมีเดียมีผลต่อทุกวงการ

วงการศาสนาก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

วันก่อนผมนิมนต์สองพระนักเทศน์มาสนทนาธรรมใน Suthichai Live โดยเสนอว่าควรจะเป็นแลกเปลี่ยนกันแบบ “สำรวมแบบหลวมๆ” ที่สอดคล้องกับวิถีการสนทนาของโลกยุคนี้

ต่อไปนี้เป็นบางตอนของการสนทนาธรรมวันนั้น

พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ และพระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต

ถาม : เสียงหัวเราะเป็นปัญหาสำหรับการเทศน์ผ่านไลฟ์ในโซเชียลมีเดียหรือไม่อย่างไรครับ

พระมหาไพรวัลย์ : อาตมาไม่เคยคิดว่าการหัวเราะจะกลายเป็นปัญหาระดับชาติได้

ถาม : คำว่า “สำรวม” วันนี้สำหรับพระสงฆ์มีนิยามว่าอย่างไรครับ

พระสมปอง : มหาไพรวัลย์ท่านเคยชวนมาไลฟ์ก่อนหน้านี้แล้ว แต่อาตมามาทางสายฮามากกว่า แยกๆ กันดีกว่าไหม อย่าให้เขามารุมด่าพร้อมกันทีเดียวเลย

อาตมารู้สึกว่ามันมีไทม์มิ่ง มันมีเวลาของมันอยู่ แต่พระมหาไพรวัลย์ท่านก็ชวนอีก คืนนั้นอาตมาไปเยี่ยมโยมแม่ คืนวันพฤหัสฯ ก็ดูท่านทำไลฟ์ ท่านก็ยิ้มและหัวเราะตลอด ถ้าเราไปไลฟ์กับท่านแล้วไม่ได้ยิ้มไม่ได้หัวเราะแบบท่าน …จะเป็นอย่างไร

ขอตอบแทนท่านว่าความจริงมันเป็นธรรมชาติของท่าน ท่านพูดไปยิ้มไปหัวเราะไป ถ้าไม่มีใครดึงท่านไปคุยเรื่องเครียดๆ ท่านก็จะเป็นแบบนี้แหละ เป็นธรรมชาติของท่านอยู่แล้ว

พอมาถึงวันศุกร์ ก็มีคนทำโปสเตอร์ “ศึกแบตเติลชิงบัลลังก์ตั่งทอง” ความจริงอาตยาเคยนั่งเทศน์บนตั่งทองมาก่อน

ก่อนเจอท่านมหาไพรวัลย์หนึ่งคืนก็เจอคุณจอมขวัญก่อน ต้องยอมรับว่าไม่ทันเขาจริงๆ เขาเล่น เขาหยอกอะไรกัน อาตมาไม่ทันเขา ต้องนิ่งเลย หน้าก็มืด แสงก็ไม่มี โทรศัพท์ก็เข้าไม่เป็น ชื่อก็พิมพ์ไม่เป็น กดเข้ากดออก สภาพ…สภาพ…

อาตมาจะถูกทีมงานดุ ว่าอาจารย์สมปองไม่ทันเขาหรอก ท่านเป็นของตัวเองเถอะ ไม่ต้องไปกับเขาหรอก แต่เรานัดน้อง (พระมหาไพรวัลย์) ไว้แล้ว เคยเทน้องเขาก่อน ทันเขาหรือไม่ทันก็ไปแบบงงๆ นี่แหละ

คืนก่อนนั้น พระมหาไพรวัลย์ท่านไลฟ์มีคนมา 4 หมื่น 5 ก็เลยบอกไปว่าถ้า 5 หมื่นก็ไม่ทำให้เรตติ้งน้องตกนะ

แต่พอเอาเข้าจริงๆ เข้ามา 2 แสน อะไรจะมากมายอย่างนั้น

 

ถาม : ท่านมหาไพรวัลย์พูดไปหัวเราะไปอย่างนั้นหรือครับ

พระมหาไพรวัลย์ : อาตมาว่าก็เหมือนทุกคน ทุกคนมีหกด้านนะ แต่ว่าเวลาแสงมันสาดมันจะไปทางด้านเดียว เขาก็เลยคิดว่าเรามีด้านเดียว

เวลาสื่อสัมภาษณ์เรา ก็สัมภาษณ์เราในมุมที่มีความขัดแย้ง หรือถ้ามีประเด็นซีเรียสหน่อยก็โยนมาให้เรา ก็ไม่มีใครพูด เช่น ประเด็นการเมือง ประเด็นสังคม ประเด็นความเชื่อทางศาสนา

เป็นที่รับรู้ผ่านสื่อด้วยภาพแบบนั้นหรือกระจกบานนั้น ก็เลยทำให้เห็นว่าพระมหาไพรวัลย์ซีเรียสวิชาการ

แต่ถ้าอยู่ด้วยกันจะรู้ว่าในมุมหนึ่งอาตมาเป็นคนเส้นตื้น ยิ่งอยู่กับพระอาจารย์สมปอง พอนอกรอบ พอถามอะไรท่าน ท่านอาจารย์สมปองก็แบบพูดคำหนึ่งขำไปสิบคำ

ถาม : พอประกบคู่กับมหาสมปองก็ยิ่งหัวเราะกันไปใหญ่เลยใช่ไหมครับ

พระมหาไพรวัลย์ : ก็ไปกันใหญ่เลย เพราะเราคิดว่าการไลฟ์นั้นไม่ใช่การเทศน์แบบทางการ มันต้องธรรมชาติ คือเรียลไทม์ ของสด ของจริง ก็ออกเต็มที่ ไม่นึกว่าจะเป็นประเด็น เพราะเราก็อยู่ในช่องเรา เพจเรา ก็เป็นธรรมชาติของเรา คุยแบบเป็นกันเอง

แต่มีบางคนไปจับว่าหัวเราะมากไป ไม่สำรวม ก็รู้สึกนิดๆ เหมือนกัน

 

ถาม : อาจารย์มหาสมปอง พอมาทำไลฟ์แล้วเป็นอย่างไรบ้างครับ ติดแล้วซิครับ

พระมหาสมปอง : จริงๆ อาตมายังเข้าอะไรไม่ค่อยเป็นมาก เพิ่งหัดไปตอบคอมเมนท์ หัดโพสต์ ที่ขึ้น status ที่มีตัวหนังสือข้างหลังยังไม่ได้หัด ทีมงานก็ไปก๊อบภาพมาจากของพระมหาไพรวัลย์ พร้อมดึงเอาคอมเมนต์มาด้วย

พระมหาไพรวัลย์ : ก๊อบต้นไม้ไปด้วย

พระมหาสมปอง : ใช่ ก๊อบต้นไม้ด้วย อีกหน่อยก็จะมีหนังสือมาเรียงเหมือนกัน

อาตมาว่าคนที่เหมือนอาตมามีเยอะนะ อายุ 40 ขึ้น ก็พยายามเรียนรู้ Admin ก็เท่ากับอาตมา ก็เท่ากับเลขาฯ บางทีก็โพสต์ชนกัน ก็ดูเหมือนเยอะ

ท่านมหาไพรวัลย์ว่า 15 โพสต์เยอะแล้ว อาตมาอาจจะมีวันละ 20 โพสต์

เรายังเรียนรู้อยู่ว่าจะโพสต์ให้ดีขึ้น ภาพดีขึ้น status ทำอย่างไร มีข้อคิดอะไรดลใจ เป็นต้น

คนรุ่นอาตมาก็จะบอกว่าอะไรๆ ก็ไม่เป็น ทำไม่เป็น โพสต์ไม่เป็น และเราก็จะภูมิใจด้วยว่าเราทำไม่เป็นด้วยซ้ำไป

ถาม : แต่พระมหาไพรวัลย์นี่กระโดดเข้ามาในโซเชียลมีเดียเลยใช่ไหมครับ

พระมหาไพรวัลย์ : ทั้งกระโดดทั้งลอยเข้าไปเลย เพราะอาตมารู้สึกว่าสังคมไปถึงไหน เราก็ควรไปถึงนั่น เพราะวิธีการสอนของอาตมาเป็นอย่างนี้มานานแล้ว เพราะอาตมาถือว่าเราต้องการสื่อสารธรรมะถึงสังคม

เมื่ออาตมาสนใจประเด็นสังคมก็ต้องอยู่กับสังคม เขามีเฟซบุ๊กเราก็ต้องมีเฟซบุ๊ก ก็จะไถฟีดข่าว ติดตามว่าเขามีอะไรกัน

พระมหาสมปอง : ขอเสริมพระมหาไพรวัลย์หน่อย คนรุ่นอาตมาที่บอกว่าไม่เล่นโซเชียล เราอาจจะภูมิใจ ถือว่ามีศักดิ์ศรีเหมือนที่โยมสุทธิชัยบอก แต่หลายคนก็บอกว่าพอมาลองดูก็อยากทำ มีไฟ อยากลองเพราะมีประโยชน์ คนอายุ 40 ขึ้น เวลามีคนถามว่าเป็นโรคซึมเศร้าจะทำอย่างไร ถ้าเป็นรุ่นอาตมา ส่วนใหญ่ถ้าถูกถามว่าสวดมนต์ ทำสมาธิช่วยได้ก็จะตอบว่าถ้าไม่ได้เป็นมากสวดมนต์ไหว้พระก็จะช่วยได้ระดับหนึ่ง แต่ถ้าเป็นมาก็ต้องไปโรงพยาบาล ถ้าเป็นมุขอาตมาก็จะบอกว่ามีทั้งชนิดเม็ดชนิดน้ำ

แต่ท่านไพรวัลย์ตอบว่าอันดับแรกก่อนต้องยอมรับก่อนว่าเราเป็น แล้วไปโรงพยาบาลให้หมอรักษา คนรอบข้างก็ต้องยอมรับ บ้านเรามีแม่ชีที่เป็นโรคซึมเศร้า จะกระโดดน้ำตาย มีทั้งพระลูกศิษย์ปผูกคอตาย ดังนั้น รีบไปโรงพยาบาลเพื่อรักษา หมอเข้ามาฟังก็คอมเมนต์ว่าใช่เลย

ท่านบอกว่าใช่เลย หลายครั้งคนไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็น ไม่ไปหาหมอ คนรอบข้างที่ควรจะเป็นผู้ช่วยหมอแต่ก็ไม่ช่วยเพราะไม่ยอมรับ ไม่ยอมไปโรงพยาบาล กว่าจะไปก็ช้าไปแล้ว จึงชื่นชมที่ท่านให้ข้อมูลที่ถูกต้อง

พระมหาไพรวัลย์ : ใช่ ก็พยายามช่วย เช่น มีคนพยายามจะฆ่าตัวตาย เราต้องเข้าใจมิติของความคิดจะฆ่าตัวตายเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก

จะไปบอกว่าการฆ่าตัวตายจะทำให้ตกนรกห้าร้อยชาตินะ เป็นบาปมหันต์ อาตมาก็ถามว่าถ้าคนเรามีทางเลือกที่ดีกว่า ใครอยากจะตาย คนที่ตัดสินใจฆ่าตัวตายนั้นแสดงว่าเขาตัดสินใจเลือกแล้วว่าการตายดีกว่าการจะมีชีวิตอยู่

(สัปดาห์หน้า : ธรรมะยุคดิจิตอลกับคนหลายรุ่น)