The show must go on เจ็บนี้อีกนาน ‘บิ๊กป้อม’ กลืนเลือด หลัง ‘บิ๊กตู่’ ปฏิวัติพี่-ปราบกบฏ จับตา ‘บิ๊กน้อย’ ทายาท ‘ประวิตร’ ทัพฟ้าระอุ ‘แอร์บูล’ วางหมากยึดแปดแฉก/รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ

 

The show must go on

เจ็บนี้อีกนาน

‘บิ๊กป้อม’ กลืนเลือด

หลัง ‘บิ๊กตู่’ ปฏิวัติพี่-ปราบกบฏ

จับตา ‘บิ๊กน้อย’ ทายาท ‘ประวิตร’

ทัพฟ้าระอุ ‘แอร์บูล’ วางหมากยึดแปดแฉก

 

แม้บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม จะแสดงละคร สร้างภาพ กอดประคองพี่ชายต่อหน้าสื่อเพื่อสยบข่าวร้าว

แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ รอยแผลได้เกิดขึ้นในใจของบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่แล้ว

แม้จะมีคำพูดหวานๆ ของ พล.อ.ประยุทธ์ที่ว่า พวกเราไม่มีทางทะเลาะกัน ผมก็กอดพี่ป้อมทุกวัน ตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่มีอะไรต้องเคลียร์ เพราะเห็นหน้าก็รู้ใจ ต่างคนต่างรู้ใจซึ่งกันและกัน

หรือแม้แต่ประโยคที่ว่า “ผมมีวันนี้ได้เพราะพี่ป้อม” ก็ตาม

แต่ พล.อ.ประยุทธ์น่าจะรู้จักพี่ใหญ่ พี่ชายคนนี้ดีกว่าใคร

เพราะวันนั้น พล.อ.ประวิตรนิ่ง ไม่แสดงสีหน้า หรือท่าทีตอบรับใดๆ กับการแสดงละครของ พล.อ.ประยุทธ์

ไม่ใช่แค่เพราะ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นมือขวา ทำงานการเมืองในพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) หรือเพราะ อ.แหม่ม-นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ที่ไว้วางใจให้คุมเงิน เป็นเหรัญญิกพรรค ที่โดนปลดจากคณะรัฐมนตรีแบบฟ้าผ่า

แต่เพราะ พล.อ.ประวิตรคือพี่ใหญ่ ที่ก่อนจะตัดสินใจทำอะไร ก็ต้องบอกกล่าว ปรึกษาหารือก่อน ต่อให้ พล.อ.ประยุทธ์จะรู้ว่า พล.อ.ประวิตรไม่เห็นด้วยแน่นอนก็ตาม

แต่ พล.อ.ประยุทธ์กลับหักดิบ ปฏิบัติการแบบเงียบๆ ในการปลด ร.อ.ธรรมนัส และนฤมล ด้วยการเข้าเฝ้าฯ ด้วยตนเอง แถมกว่าจะบอก พล.อ.ประวิตร ก็ในวันที่โปรดเกล้าฯ ลงมาแล้ว อาจเป็นเพราะไม่ต้องการให้ ร.อ.ธรรมนัสรู้ตัว

ทั้งพี่ใหญ่ และ ร.อ.ธรรมนัส เตรียมตัวเตรียมใจแทบไม่ทัน เพราะทันทีที่รู้จาก พล.อ.ประยุทธ์ที่เข้าไปบอก ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ พล.อ.ประวิตรก็แจ้ง ร.อ.ธรรมนัสทันที

แม้จะรีบแถลงข่าวแก้เกี้ยวว่า ขอลาออก แต่ พล.อ.ประยุทธ์ก็ลงดาบ 2 ด้วยการให้ทำเนียบรัฐบาลแจกจ่ายราชกิจจา ประกาศคำสั่งปลดทันที เพื่อเป็นการยืนยันว่า เป็นการถูกปลด ไม่ใช่ลาออก

ที่สำคัญ หาใช่การปรับ ครม.ให้พ้นตำแหน่ง เช่นที่เคยทำกันไม่ แต่โปรดเกล้าฯ ให้ รมต.พ้นจากตำแหน่ง ตามมาตรา 171 ตามที่นายกรัฐมนตรีได้กราบบังคมทูลถวายรายงาน

เพื่อเป็นการดับอนาคตทางการเมืองของ ร.อ.ธรรมนัส และ อ.นฤมลเลยทีเดียว เพราะ ร.อ.ธรรมนัสถึงขั้นประกาศจะย้ายบ้านใหม่ ไปตั้งพรรคอีสานล้านนา

การปลดครั้งนี้ ถือเป็นการกระชับอำนาจในมือ และทำให้ภาพพจน์ของ พล.อ.ประยุทธ์ในช่วงขาลง ดูแข็งแกร่งขึ้น และเสมือนเป็นการประกาศให้ทั้ง ส.ส.พปชร. และพรรคร่วมรัฐบาลเห็นว่า ตนเองคือผู้มีอำนาจตัวจริง หาใช่นายกฯ ที่ต้องคอยฟัง พล.อ.ประวิตรอย่างเดียว

อำนาจและบารมีของ พล.อ.ประวิตรในฐานะพี่ใหญ่ มากขึ้นๆ เพราะถูกมองว่าเป็นผู้ค้ำเก้าอี้นายกฯ และนายกฯ เกรงใจ

แต่เมื่อศึกสายเลือด จปร.บังเกิด หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์มีข้อมูลว่า ร.อ.ธรรมนัสคิดการใหญ่ ในการล้มล้างนายกฯ ประกอบกับความหวาดระแวงในสายสัมพันธ์กับนายทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย

รวมทั้งมองว่า ร.อ.ธรรมนัสใช้ความไว้วางใจที่ พล.อ.ประวิตรสร้างอำนาจและบารมีในทางการเมืองให้ตนเอง และอาจมามีอิทธิพลเหนือ พล.อ.ประวิตร เพราะประกบซ้าย-ขวาพร้อมนางนฤมล

ที่เป็นจุดแตกหักที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ตัดสินใจเชือด ร.อ.ธรรมนัส รุ่นน้อง ตท.25 จปร.36 คือ คำพูดในการแถลงข่าวของ ร.อ.ธรรมนัส ที่หลายประโยคถูกเข้าใจว่า หมายถึงตนเอง และสื่อถึงการลบหลู่อย่างแรง

จึงไม่แปลกที่เมื่อปลด ร.อ.ธรรมนัสแล้ว พล.อ.ประยุทธ์จะย้อนคำพูด ร.อ.ธรรมนัสที่บอกไว้ว่า พร้อมที่จะกลับไปเป็น ส.ส.อย่างเดียว

การปลด 2 ลูกเลิฟ มือซ้ายมือขวาของ พล.อ.ประวิตรครั้งนี้ กระทบพี่ใหญ่ บารมีลดวูบ เพราะใครๆ ก็เห็นแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ คือผู้มีอำนาจตัวจริง บทจะเด็ดขาด เมื่อถูกหมิ่นศักดิ์ศรี ก็ไม่สนว่าจะเป็นคนของพี่ใหญ่ และไม่บอกพี่ใหญ่ก่อนเสียด้วย

วันที่ 9 กันยายน 2564 วันที่ พล.อ.ประยุทธ์แจกจ่ายคำสั่งปลด ตรงกับวันกบฏ 9 กันยายน 2528 เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ เสมือนเป็นการส่งสัญญาณว่า การปฏิวัติล้มนายกฯ กลางสภาโดย ร.อ.ธรรมนัสไม่สำเร็จ และกลายเป็นกบฏที่ต้องถูกสำเร็จโทษ

พล.อ.ประวิตรพูดไม่ออก ที่เจอน้องรักอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ปฏิบัติการเช่นนี้ เสมือนถูกหักหน้า และสะเทือนบารมี

จึงไม่แปลกที่ส่วนตัว พล.อ.ประวิตรจะได้แต่บ่นกับเพื่อนสนิท และน้องๆ ที่สนิท ถึงความรู้สึกที่มีต่อตัว พล.อ.ประยุทธ์ จากปฏิบัติการครั้งนี้

รวมถึงคำพูดบางคำที่อาจทำให้ พล.อ.ประยุทธ์รู้แล้วจะนอนไม่หลับ

แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะพยายามทำตัวให้เป็นปกติ ในการโทร.หา พล.อ.ประวิตรทุกวันตั้งแต่เกิดเรื่อง แต่ในทางตรงข้าม พล.อ.ประยุทธ์ก็โทร.ถามคนใกล้ชิด พล.อ.ประวิตร เพื่อหยั่งเชิง

แต่ทว่า ใครจะกล้าบอกความจริง หรือเล่าทั้งหมดให้ฟัง นอกเสียจากบอกแค่ว่า ก็แค่งอนๆ เท่านั้น

ปกติเวลามีความเห็นไม่ตรงกัน 3 พี่น้องจะคุยกัน และผลัดกันยอม โดยไม่เคยขัดแย้งรุนแรงเท่าครั้งนี้

แถมงานนี้ บิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย หรือน้องรอง ดูจะเอนเอียงไปทาง พล.อ.ประยุทธ์ จน พล.อ.ประวิตรรู้สึกโดดเดี่ยวและเจ็บหนักกว่าเดิม

พล.อ.อนุพงษ์ ซึ่งปกติก็สนิทสนมกับ ร.อ.ธรรมนัสมายาวนาน ตั้งแต่สมัยเสธ.ไอซ์ พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต เพื่อน ตท.10 ลูกพี่ของ ร.อ.ธรรมนัส

แต่มาคราวนี้ ถูกจับตามองจากกระแสข่าวที่ ร.อ.ธรรมนัสจะเป็น มท.1 และจะขอโควต้า มท.1 คืนมาเป็นโควต้ากลางของพรรค ที่อาจจะทำให้เกิดความไม่เข้าใจกัน

ไม่มีใครโฟกัสที่ พล.อ.อนุพงษ์ ที่ยังคงลงพื้นที่และเคียงข้าง พล.อ.ประยุทธ์ตลอด จนเมื่อ พล.อ.ประวิตรให้สัมภาษณ์ว่า ได้คุยเคลียร์กับ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.อนุพงษ์แล้ว นั่นเองจึงทำให้รู้ว่า มีเรื่องไม่เข้าใจกัน

แต่ พล.อ.ประวิตรก็แค่สยบข่าว เพราะไม่อยากถูกจับตามองเท่านั้น แต่ความรู้สึกไม่อาจกลับมาเหมือนเดิมได้

The show must go on ทำให้ พล.อ.ประวิตรต้องเล่นไปตามบทพี่ใหญ่ ที่ไม่อาจจะเอาความรู้สึกน้อยใจส่วนตัวมาทำให้แผงอำนาจ 3 ป.แตกพัง และจะทำให้รัฐบาลสะเทือน จึงต้องเดินหน้าต่อ เสมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ น้อง 2 ป.ต้องสำคัญกว่า ร.อ.ธรรมนัสผู้มาทีหลัง

แต่ในทางปฏิบัติแล้ว พล.อ.ประวิตรต้องยอมกลืนเลือด เก็บกดความรู้สึกต่างๆ หลบซ่อนไว้ในใจ แล้วทำหน้าที่ต่อไป แม้จะอยากโยนผ้าเลิกเล่นการเมือง อยากลาออกจากหัวหน้าพรรค พปชร. ถึงขั้นบ่นเหนื่อย อยากพัก หลายครั้งก็ตาม

จึงไม่แปลกที่ พล.อ.ประวิตรจะขอร้องให้ ร.อ.ธรรมนัสและนางนฤมล ที่บิ๊กป้อมเรียกติดปากว่า ไอ้นัส กับไอ้แหม่ม ช่วยงานพรรคพลังประชารัฐต่อไป แม้รู้ว่า ใจทั้ง 2 คนไม่อยู่แล้ว และถึงจะรู้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ชอบ และอยากไปให้พ้นจาก พล.อ.ประวิตร ไม่มาครอบงำพี่ชาย

แต่เพราะรู้ดีว่า นักเลงอย่างผู้กองธรรมนัสนั้น เมื่อใจไม่อยู่แล้ว อีกไม่นานก็คงไป แม้ว่าตอนนี้จะเกรงใจ พล.อ.ประวิตร ช่วยงานพรรคต่อไปก็ตาม

นี่จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ พล.อ.ประวิตรไปขอร้องให้บิ๊กน้อย พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา อดีต ผช.ผบ.ทบ. น้องเลิฟอีกคน ที่ช่วยงานในสายกีฬา ให้มาเป็นประธานกรรมการยุทธศาสตร์พรรค พปชร.

ด้วยเหตุผลที่ พล.อ.วิชญ์ หรือที่พี่ป้อมเรียกติดปากว่า “ไอ้น้อย” บอกว่า ไม่มีใครแล้ว ไม่รู้จะไว้ใจใครได้แล้ว จึงขอให้มาช่วยงาน

เพราะ พล.อ.ประวิตรรู้ดีว่า วันหนึ่ง ร.อ.ธรรมนัสก็คงต้องไปตามทาง เพราะยังมีแผลในใจกับ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ยากจะสมาน

พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา

ด้วยความที่เป็นน้องรักข้างกายที่อยู่กันมายาวนานกว่า 40 ปี พล.อ.วิชญ์จึงรับปากมาช่วยพี่ และด้วยความเข้าใจในหัวอกพี่ใหญ่ ในสถานการณ์ที่กำลังถูกด้อยค่า ลดบารมี

ส.ส.พปชร. แกนนำพรรค ต่างเข้าหา พล.อ.ประยุทธ์ โดยที่ พล.อ.ประยุทธ์ก็เปิดตัว และลดระยะห่างมาใกล้ชิด ส.ส.มากขึ้น แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นก๊วนที่ขัดแย้งกับ ร.อ.ธรรมนัสก็ตาม

เพราะมีข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์จะลงมาทำงานการเมืองเองมากขึ้น จากเดิมที่ปล่อย พล.อ.ประวิตรคนเดียว จนทำให้ ร.อ.ธรรมนัสมีบารมีและอำนาจ จนอาจจะยากเกินควบคุม จึงต้องรีบตัดสินใจคุมกำเนิดเสีย

แล้วมาดีลการเมืองกับนักการเมืองด้วยตนเอง ที่จะได้รู้ว่า ที่ผ่านมาการเดินเกมการเมืองเพื่อทำให้รัฐบาลเข้มแข็งนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และ พล.อ.ประวิตรต้องเหนื่อยแค่ไหนในการบริหารจัดการนักการเมือง ไม่ใช่แค่ใน พปชร. และพรรคร่วมรัฐบาล หรือแม้แต่ฝ่ายค้าน

จนทำให้ถูกจับตามองว่า ในอีกไม่ช้า จะถึงเวลาที่ พล.อ.ประยุทธ์จะมานั่งหัวหน้าพรรค พปชร.เอง เพราะก็เป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรคมาตั้งแต่ต้น แต่ออกหน้าไม่ได้ เพราะยังเป็นหัวหน้า คสช.

อีกทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ไม่เคยปฏิเสธ หรือปิดประตูว่าจะไม่เป็นหัวหน้าพรรคเอง แต่แค่บอกว่า ยังไม่ถึงเวลา ยังไม่มีความจำเป็น และยังไม่ได้คิด จนล่าสุดได้ออกตัวว่ายังไปไม่ถึงตรงนั้นหรอก

ทั้งนี้เพราะ พล.อ.ประยุทธ์รู้ดีว่า วันหนึ่ง พล.อ.ประวิตรก็คงต้องพักผ่อน แล้วยิ่งเกิดปัญหาระหว่างกันเช่นนี้

แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะบอกว่า พี่ป้อมไป ผมก็ไป มาด้วยกัน ไปด้วยกัน หรือ พล.อ.ประวิตรจะบอกว่า “นายกฯ ไป ผมก็ไป” ก็ตาม

แต่เพื่อรักษาอำนาจ เพื่อป้องกันสิ่งที่ทำมาสูญเปล่า และกลัวถูกเช็กบิลเอาคืน ก็อาจจำเป็นต้องอดทนสู้ต่อไป

จึงเป็นที่สังเกตกันว่า การที่ พล.อ.ประวิตรดึง พล.อ.วิชญ์มาช่วยงานพรรคนั้น เป็นการส่งสัญญาณว่า จากนี้ พล.อ.วิชญ์ คือสัญลักษณ์ตนเอง ในการเดินเกมเจรจาต่างๆ

เพราะแม้จะทำงานสายกีฬาหลังเกษียณมาตลอดนับสิบปี แต่วงการกีฬาก็ไม่ธรรมดา พล.อ.วิชญ์ก็บริหารจัดการได้ด้วยบารมีบิ๊กป้อม

ที่สำคัญคือ วีรกรรมของ พล.อ.วิชญ์ที่เคยไปปฏิวัติเงียบ ยึดราชตฤณมัยสมาคม หรือสนามม้านางเลิ้ง เมื่อปี 2560 ด้วยการยึดอำนาจจากบิ๊กอ้าย พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ที่คุมอำนาจในสนามม้ามานาน ได้มาแล้ว ในการคุมเสียงในคณะกรรมการ ที่ครั้งนี้ถูกมองว่า บิ๊กป้อมส่งบิ๊กน้อยไปยึดสนามม้า

คราวนี้เกิดกระแสข่าวสะพัดว่า พล.อ.ประวิตรเล็ง พล.อ.วิชญ์ให้เป็นทายาท ในการดูแลพรรค พปชร.ต่อไป เพราะทั้งชาติตระกูล รูปร่างลักษณะ และความสามารถ ไม่เคยทำให้พี่ป้อมผิดหวัง

จนถูกมองว่า การตั้ง พล.อ.วิชญ์มาช่วยพรรค พปชร. เพื่อตีกัน พล.อ.ประยุทธ์ แต่ในทางปฏิบัติ พล.อ.วิชญ์ กับ พล.อ.ประยุทธ์ ก็สนิทสนมคุ้นเคยกัน และเป็นรุ่นพี่ ตท.11 จปร.22

แต่ทว่า เป็นที่รู้กันดีว่า สำหรับ พล.อ.วิชญ์แล้ว พี่ป้อมเป็นที่ 1 เท่านั้น ไม่มีทรยศหักหลัง และเข้าใจพี่ป้อมมากที่สุด

แม้พี่น้อง 3 ป.จะถึงกาลแห่งความร้าวฉาน แต่เพราะต้องรักษาอำนาจรัฐเอาไว้ให้ได้ พรรคพลังประขารัฐก็ต้องอยู่ต่อเพื่อเป็นฐานสู่อำนาจรัฐตามระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่าจะมีใครกุมบังเหียนก็ตาม

เพราะในอีกด้านหนึ่ง ก็มีข่าวในสาย 3 ป. ว่า พล.อ.ประยุทธ์ยังไม่มั่นใจว่าในสมัยหน้าจะไปต่อหรือไม่ แต่ได้ออกตัวฝากบ้านเมืองไว้กับ พล.อ.อนุพงษ์ จนทำให้เกิดกระแสข่าวลือตามมา

เพราะถึงอย่างไร 3 ป.ก็จะยังถอยไม่ได้ จนกว่าจะมีทายาทที่ไว้ใจ แต่ในเมื่อวันนี้ ร.อ.ธรรมนัสมีปัญหากับ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยากที่จะไปต่อ

จึงน่าจับตามองบทบาท พล.อ.วิชญ์นับจากนี้ ที่อาจจะเป็นทายาทอำนาจของพี่ใหญ่

ก่อนหน้านี้เคยกระแสข่าวที่ว่า พล.อ.ประวิตรกำลังมองหานายกฯ สำรองมาแทน พล.อ.ประยุทธ์ หากไม่ไปต่อ หรือไปต่อไม่ไหว เพราะคะแนนนิยมตกวูบ และให้ ร.อ.ธรรมนัสช่วยหาด้วย แต่มีสเป๊กว่า อยากได้พลเรือน ไม่เอาทหาร ตำรวจ

ข่าวนี้ พล.อ.ประยุทธ์ก็คงรับรู้ และอาจทำให้รู้สึกหวาดระแวงว่าพี่ใหญ่ที่มี ร.อ.ธรรมนัสและ อ.นฤมล และนักการเมืองห้อมล้อม จะเปลี่ยนไปหรือไม่

จึงทำให้เมื่อมีข่าวการปฏิวัติล้มนายกฯ กลางสภาในศึกอภิปราย พล.อ.ประยุทธ์จึงต้องถาม พล.อ.ประวิตร เพื่อเช็กว่า พี่ชายรู้เห็น หรือว่าหลงหูหลงตา โดยเฉพาะถามว่า จะเอาใครมาเป็นนายกฯ แทน แต่บิ๊กป้อมก็ปฏิเสธว่าไม่มี

แต่ที่สุด ก็ปลด ร.อ.ธรรมนัส พ่วง อ.นฤมล ที่แสดงว่าไม่เชื่อที่พี่ใหญ่บอกว่าไม่มีอะไร

ดังนั้น ปฏิบัติการปราบกบฏของ พล.อ.ประยุทธ์ครั้งนี้ จึงเป็นการส่งสัญญาณเตือนไปถึงทุกฝ่าย ว่าถึงเวลาก็พร้อมเอาจริง เด็ดขาด แม้จะต้องขัดใจกับพี่ใหญ่ก็ตาม

แต่ทว่า มันไม่จบง่ายๆ แค่การประคองกอดพี่ใหญ่โชว์สื่อ แต่เอฟเฟ็กต์ที่จะตามมา รออยู่เบื้องหน้า

ขณะที่การเมืองร้อนฉ่า มองไปที่ทุ่งดอนเมืองก็ไม่แพ้กัน ร้อนระอุมากขึ้นหลังโผคลอด

เพราะสะท้อนความไม่ธรรมดาของบิ๊กแอร์ พล.อ.อ.แอร์บูล สุทธิวรรณ ผบ.ทอ. ที่กำลังนับถอยหลังสู่วันเกษียณ แต่ได้ทิ้งทวนไว้ในโผนี้

แม้จะยอมรอมชอมด้วยการเสนอชื่อบิ๊กป้อง พล.อ.อ.นภาเดช ธูปะเตมีย์ เพื่อน ตท.21 จากประธานคณะที่ปรึกษา ทอ. ขึ้นเป็น ผบ.ทอ. และเตะบิ๊กตั้ว พล.อ.อ.สฤษฏ์พงศ์ วัฒนวรางกูร เพื่อนรัก ข้ามไปเข้ากรุ เป็นรองปลัดกลาโหมก็ตาม

พล.อ.อ.ชานนท์ มุ่งธัญญา

และลบคำครหาที่ว่า จะดันน้องเลิฟอย่างบื๊กเบิร์ท พล.อ.ท.อนันตชัย แก้วศรีงาม (ตท.22) เจ้ากรมส่งกำลังบำรุง ทอ. ให้ขึ้นเสธ.ทอ.นั้น ก็กลับกลายมาเป็นแค่รองเสธ.ทอ. แต่ก็คุมสายส่งกำลังบำรุง เพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้า และจ่อขึ้น 5 เสืออากาศในปีหน้า และมีอายุราชการถึง 2567

แต่ที่เด็ดสุดคือ การวางหมาก ในตึกแปดแฉก ด้วยการดึงบิ๊กป้อม พล.อ.อ.ธนศักดิ์ เมตะนันท์ (ตท.22) ข้ามจากรองเสนาธิการทหาร กองทัพไทย กลับมาเสียบเป็นรอง ผบ.ทอ. ครองอัตราพลอากาศเอกพิเศษ ชิงอาวุโส จ่อขึ้นแม่ทัพฟ้าในปีหน้า ต่อจาก พล.อ.อ.นภาเดชได้เลย

เรียกได้ว่า แซงหน้าเสธ.หนึ่ง พล.อ.อ.ชานนท์ มุ่งธัญญา (ตท.23) เสธ.ทอ. ขยับมาเป็นผู้ช่วย ผบ.ทอ. ที่ก็ยังถือว่าเป็นแคนดิเดต ผบ.ทอ.ในปีหน้าเช่นกัน เพราะทั้งพล.อ.อ.ธนศักดิ์ และ พล.อ.อ. ชานนท์ เกษียณ 2567 พร้อมกัน แต่ พล.อ.อ. ธนศักดิ์ได้เปรียบที่อาวุโสกว่าแล้ว

พล.อ.อ.นภาเดช ธูปะเตมีย์

ส่งผลให้บรรยากาศใน ทอ.ยิ่งเข้มข้นกว่าเดืม ท่ามกลางการจับตามองว่า ระหว่าง พล.อ.อ.แอร์บูล กับ พล.อ.อ.นภาเดช มีสัญญาใจใดต่อกันหรือไม่ ในการเลือก ผบ.ทอ.ในปลายปีหน้า

เพราะการดึง พล.อ.อ.ธนศักดิ์กลับมา ก็เป็นการเอาคืนบิ๊กนัต พล.อ.อ.มานัต วงษ์วาทย์ อดีต ผบ.ทอ. รุ่นพี่ ตท.20 ที่เคยเตะ พล.อ.อ.ธนศักดิ์ออกไป บก.ทัพไทย เขี่ยพ้นเส้นทางสู่ ผบ.ทอ.

กล่าวกันว่า เพราะ พล.อ.อ.ธนศักดิ์เป็นน้องรักที่บิ๊กต่าย พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ ดิษยะศริน อดีต ผบ.ทอ. วางตัวไว้เป็นทายาท แต่ถูก พล.อ.อ.มานัตโยกย้ายพ้นทาง เพราะปัญหาทางใจกับ พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ ด้วย แม้จะเป็น ผบ.ทอ.ต่อกันก็ตาม ซ้ำรอย พล.อ.อ.มานัตที่เลือก พล.อ.อ.แอร์บูลเป็น ผบ.ทอ. แต่ก็มาทะเลาะขัดแย้งกัน

พล.อ.อ.ธนศักดิ์ เมตะนันท์

การนำ พล.อ.อ.ธนศักดิ์กลับมา ทอ.ก็จะเป็นการตีกัน พล.อ.อ.ชานนท์ ที่ พล.อ.อ.มานัตวางตัวไว้ได้อีกด้วย

ไม่แค่นั้น ยังเลือกบิ๊กไก่ พล.อ.ท.พันธ์ภักดี พัฒนกุล (ตท.24) รองเสธ.ทอ. เป็นเสธ.ทอ. และน่าจับตามอง เพราะมีอายุราชการถึง 2568 ที่สามารถเป็น ผบ.ทอ.ต่อจาก พล.อ.อ.ธนศักดิ์ได้ด้วย

แถมดันบิ๊กต้น พล.อ.ท.คงศักดิ์ จันทรโสภา (ตท.22) จากรองเสนาธิการทหารอากาศ เป็น ผบ.คปอ.ไว้อีกคน

งานนี้แม้จะมี พล.อ.อ.นภาเดชมาเป็น ผบ.ทอ. แต่ทุ่งดอนเมืองร้อนระอุ ที่ไม่รู้ว่า Snowy จะดับร้อนได้หรือไม่

ทั้งการเมืองก็ร้อน และกองทัพก็ระอุ หลังโผทหารคลอด ไม่ใช่แค่ ทอ. แต่ผลจากการแย่งชิงเก้าอี้ใน ทบ. และ ทร. และ บก.ทัพไทย ก็ ‘ร้อน’ จึงอย่ากะพริบตา