กรอด ใน ‘กอด’ ของ ‘ป้อม-ประยุทธ์’ มีเสียง ‘ขบเหลี่ยม-เคี้ยวฟัน’ ที่พลังประชารัฐ/บทความในประเทศ

บทความในประเทศ

 

กรอด ใน ‘กอด’

ของ ‘ป้อม-ประยุทธ์’

มีเสียง ‘ขบเหลี่ยม-เคี้ยวฟัน’

ที่พลังประชารัฐ

‘บิ๊กตู่’ โชว์กอด ‘พี่ป้อม’ สยบข่าวร้าวปลด ‘2 รมช.’

คือประเด็นที่สื่อมวลชนหยิบมาพาดหัวสอดคล้องกัน เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา

เป็นประเด็นหลังจากที่ “พี่ป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ตกเป็นข่าวไม่พอใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

ที่ปลดฟ้าผ่ารัฐมนตรีคนสนิทของ พล.อ.ประวิตร ได้แก่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ออกจาก รมช.เกษตรและสหกรณ์ และนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ พ้น รมช.แรงงาน โดยไม่บอกกล่าว

ถึงขนาดที่ข่าวว่า พล.อ.ประวิตรจะลาออกจากหัวหน้าพรรค

ทำให้เมื่อวันที่ 13 กันยายน เกิด “โชว์กอดทางการเมือง” ที่ทำเนียบรัฐบาล

เพื่อสยบข่าวดังกล่าว

 

โดยขณะที่ พล.อ.ประวิตรเดินทางมาเพื่อร่วมประชุมคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์เป็นประธาน ก่อนการประชุมจะเริ่ม พล.อ.ประยุทธ์เดินเข้ามาภายในห้องประชุม ได้ยกมือไหว้พร้อมกล่าวทักทาย พล.อ.ประวิตร “สวัสดีพี่ป้อม” พร้อมพูดคุยกันประมาณ 2-3 นาที สลับกับเสียงหัวเราะเป็นระยะๆ

ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม พล.อ.ประยุทธ์ยังได้หารือนอกรอบกับ พล.อ.ประวิตรระยะหนึ่ง ก่อนที่จะเดินออกมาคู่กันโดย พล.อ.ประยุทธ์ใช้วงแขนโอบกอด พล.อ.ประวิตรต่อหน้าสื่อมวลชน และยังได้เดินออกไปส่ง พล.อ.ประวิตรถึงรถยนต์ ทั้งที่ปกติจะไม่ทำเช่นนี้บ่อยครั้งนัก

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวกับผู้สื่อข่าวหลังจากนั้นว่า

“ทราบว่าสื่อมวลชนไปถามดัก พล.อ.ประวิตร ว่าเคลียร์กับผมหรือยัง ยืนยันว่าผมไม่จำเป็นต้องเคลียร์ เห็นหน้าก็รู้ใจ ต่างคนต่างรู้ใจซึ่งกันและกัน ยืนยันว่าไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้นในการทำงาน การดำเนินการอะไรก็ตามก็ขอให้เป็นไปตามกติกา ตามระบอบประชาธิปไตยของเรา อันไหนที่เป็นอำนาจของนายกฯ ที่ผมสามารถทำได้ผมก็ทำของผม ซึ่งไม่มีวันที่จะไม่เข้าใจกัน ยืนยันอีกครั้งนะครับ”

เมื่อถามว่าเมื่อสักครู่มีภาพการทักทายและกอด พล.อ.ประวิตร นายกฯ ตอบว่า “ทำไม ผมก็กอดทุกวันนั่นแหละ ตั้งแต่เด็กแล้ว”

นี่คือที่มาของการฟาดหัวของสื่อ ว่ามี “โชว์กอด” กัน ของพี่น้อง 2 ป.ดังกล่าว

 

ขณะที่ พล.อ.ประวิตรก็ยืนยันว่า จะทำหน้าที่หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ต่อไป

สอดคล้องกับคำแถลงของ น.ส.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ ส.ส.กทม. ในฐานะโฆษกพรรค พปชร.ที่ยืนยันว่า กระแสข่าว พล.อ.ประวิตรจะลาออกจากพรรค เป็นเพียงข่าวลือ ที่ไม่มีมูลความจริง

เช่นเดียวกับนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค พปชร. ที่บอกว่า เมื่อ พล.อ.ประวิตรยืนยันแล้วว่าจะไม่ลาออก

การไม่ลาออกคือไม่ปรับเปลี่ยนกรรมการบริหารพรรคใดๆ

ดังนั้น ทุกอย่างก็นิ่ง ส.ส.และสมาชิก พปชร.ทั้งหมด รักและเคารพ พล.อ.ประวิตรเป็นหนึ่งเดียว

พล.อ.ประวิตรยังเป็นหัวหน้าพรรค ที่ครองใจ ส.ส.ในพรรคทั้งหมด

 

จากการ “โชว์กอด” รวมถึงการยืนยันของคนใน พปชร.เช่นนี้

ดูเหมือนปัญหาต่างๆ จะสงบ

รัฐบาลและพรรค พปชร.น่าจะขับเคลื่อนไปด้วยความราบรื่น

แต่เอาเข้าจริงแล้ว “ปัญหา” ได้ยุติลงอย่างง่ายดายเช่นนั้นหรือ

แม้ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.ประยุทธ์ รวมไปถึง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา จะมีเยื่อใยแห่งความเป็นพี่น้องอยู่สูง

แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ก็ได้ฝากรอยแผลไว้ในใจแต่ละคน ฉกรรจ์มาก

และเชื่อว่า สถานการณ์จะบีบให้แผลนั้นฉกรรจ์หนักขึ้นไปอีก

ทั้งนี้เนื่องจากปัญหายังไม่สะเด็ดน้ำ

จริงอยู่ ถึง ร.อ.ธรรมนัสและนางนฤมลจะถูกปลดจากตำแหน่งรัฐมนตรี

แต่ตำแหน่งในพรรคคือ เลขาธิการ และเหริญญิกพรรค ยังคงอยู่

ตามกระแสข่าวระบุว่า ร.อ.ธรรมนัสและนางนฤมลยืนยันที่จะไม่ลาออก

หากจะให้พ้นจากตำแหน่ง ขอให้เป็นคำสั่งของ พล.อ.ประวิตรปลดทั้งสองคนเอง

ซึ่งดูเหมือน พล.อ.ประวิตรจะปฏิเสธไม่ยอมปลด ยังยืนกรานให้ทั้งสองคนทำหน้าที่เดิมต่อไป

แถมยังระบุว่า จะให้ ร.อ.ธรรมนัสดูแลการเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ทั่วประเทศด้วย

 

การยืนยันของ พล.อ.ประวิตรเช่นนี้ ถูกมองว่ายังยืนอยู่ข้างสองคนสนิท

แน่นอนลึกๆ ย่อมจะสร้างความไม่พึงใจให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.อนุพงษ์เท่าไรนัก

เพราะเสมือนยังมี “หอกข้างแคร่” คาอยู่

และอาจเป็นอันตรายต่อการดำรง “อำนาจ” ของตนในอนาคตด้วย

สำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.อนุพงษ์ แล้วดูเหมือนจะไม่มีทางเลือกอื่น

นอกจากหาทางบีบให้ ร.อ.ธรรมนัสและนางนฤมลออกจากตำแหน่ง

แล้วหาคนที่วางใจมาดำรงตำแหน่งสำคัญนี้แทน

ทางหนึ่ง ที่เริ่มมีการโยนหินออกมาแล้ว นั่นก็คือ การกดดันให้ปรับโครงสร้างพรรคใหม่

โดยให้ พล.อ.ประวิตรลาออกจากหัวหน้าพรรค เพื่อ “เซ็ตซีโร่” ด้วยการโละกรรมการบริหารพรรคชุดเดิมซึ่งรวมถึง ร.อ.ธรรมนัสและนางนฤมลออกไป

แต่ก็คงต้องยืดเวลาออกไประยะหนึ่ง

เพราะหากไปเร่งก็เท่ากับไปหักหน้า พล.อ.ประวิตรซ้ำขึ้นอีก

นั่นอาจทำให้ พล.อ.ประวิตรเองอาจจะทวีความไม่พอใจยิ่งขึ้น

“กอด” โชว์ อาจจะไร้ความหมายลงอย่างสิ้นเชิงได้

 

ดังนั้น เพื่อไม่ให้ “หัก” เกินไป พล.อ.ประยุทธ์อาจจะต้องซื้อเวลาออกไปอีกระยะหนึ่ง

โดยรอไปจนถึงห้วงเดือนตุลาคม ที่จะมีเงื่อนไขใหม่เข้ามา เช่น มีข้าราชการบางส่วนเกษียณอายุ และอาจถูกดึงเข้ามาเป็น “ดุล” ใหม่ใน พปชร.

โดยที่จับตามองกันตอนนี้ ก็เช่น ปลัดกระทรวงมหาดไทย ที่เดิมมีข่าวว่าจะไปสร้างพรรคใหม่

อาจจะถูก พล.อ.ประยุทธ์ รวมถึง พล.อ.อนุพงษ์ ดึงเข้ามาดูแลพรรค พปชร.ก็ได้

ทั้งนี้ อาจควบคู่ไปกับการปรับคณะรัฐมนตรี เพื่อดันเอาคนของฝ่ายตัวเองเข้าไปศูนย์กลางการบริหาร และมีบารมีที่จะย้อนกลับไปดูแลพรรค พปชร.ด้วย

ซึ่งถึงตอนนั้น หาก พล.อ.ประวิตรยังคง “ขัดขวาง” หรือไม่เออออด้วย ก็อาจจะรุกไกลถึงขนาดเปลี่ยนหัวหน้าพรรค

โดย พล.อ.ประยุทธ์อาจจะต้องมาดูแลเอง

แต่ขณะนี้ พล.อ.ประยุทธ์พยายามที่จะไม่พูดถึง โดยบอกว่าอย่าเอาเรื่องในอนาคตมาพูดในตอนนี้

กระนั้น เราก็เริ่มเห็นร่องรอยการเข้ามามีบทบาทในพรรค พปชร.มากขึ้น

อย่างตอนนี้ พล.อ.ประยุทธ์ได้ส่งนายอนุชา บูรพชัยศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง “หมาดๆ” มาร่วมประชุมวิปรัฐบาล โดยอ้างว่าเพื่อเก็บข้อมูล ส.ส.เสนอรายงานนายกฯ โดยตรง เพื่อปิดช่องโหว่ ความเหินห่างอย่างที่ ส.ส.เรียกร้อง

ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นไปตามเหตุผลนั้น

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า นี่คือการรุกเข้ามาในพรรค พปชร.ของ พล.อ.ประยุทธ์ด้วย

 

เหล่านี้สะท้อนว่า พล.อ.ประยุทธ์คงไม่ปล่อยให้ พล.อ.ประวิตรควบคุมการเมืองเพียงฝ่ายเดียวอีกต่อไป

หากแต่จะขอเข้ามามีส่วนดำเนินการขับเคลื่อนการเมืองด้วย

แน่นอนย่อมรวมถึงผู้ที่จะมาเป็นเลขาธิการพรรคด้วย

ซึ่งตรงนี้ ต้องติดตามว่า พล.อ.ประวิตรจะสุกงอมมากเพียงใด

และการต้องรอเวลา “สุกงอม” นี้เอง คงต้องจับการเคลื่อนไหวของฝ่าย ร.อ.ธรรมนัสด้วยเช่นกัน

เนื่องจากคงไม่ใช่ตะเกียงที่ไร้น้ำมัน

ในด้านหนึ่ง ก็อาจเป็นไปได้ว่า ฝ่ายของ ร.อ.ธรรมนัสอาจจะปักหลักสู้ในพรรค ด้วยการผนึก ส.ส.และสมาชิกพรรค ชู พล.อ.ประวิตรขึ้นสู้ ภายใต้หลักการที่ว่าจะผลักดันให้หัวหน้าพรรคขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีเอง ไม่ต้องไปหนุนคนนอกหรือใครขึ้นมา

ซึ่งนั่นก็ย่อมทำให้ พล.อ.ประวิตรกลายเป็นคู่แข่ง พล.อ.ประยุทธ์ไปโดยปริยาย

อีกด้านหนึ่ง ร.อ.ธรรมนัสอาจจะซ่องสุมกำลังภายใน พปชร.เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่จะผละไปสร้างบ้านใหม่ เมื่อมีการเลือกตั้งใหม่

คาดว่าจะมี ส.ส.ไม่น้อย ที่พร้อมจะออกไปกับ ร.อ.ธรรมนัส ซึ่งก็จะกลายเป็นความอ่อนแอของ พปชร.เพราะจะถูกดูดคนและทรัพยากรทางการเมืองออกไป

 

นี่จึงเป็นไฟต์บังคับ ที่ทำให้ฝ่ายของ พล.อ.ประยุทธ์รอไม่ได้นาน จำจะต้องตัดสินใจและขับเคลื่อน เพื่อขจัดหอกข้างแคร่ออกไป

พร้อมกันนั้น พล.อ.ประยุทธ์ก็ต้องปรับท่าทีใหม่ต่อนักการเมือง

จากเดิมที่ลอยตัวไม่เกี่ยวข้อง หรือเข้าไปแปดเปื้อนด้วย จำต้องลงไปคลุกคลีมากขึ้น

สิ่งหนึ่งที่ทำไปแล้วก็คือการลงพื้นที่ ในด้านหนึ่ง มีเหตุผลเพื่อไปตรวจงานตามนโยบายของรัฐบาล

อีกด้านหนึ่ง ก็ถือโอกาสพบปะ ส.ส.พปชร. หรือแม้แต่พรรคอื่น และนักการเมืองท้องถิ่น เพื่อดึงเข้ามาเป็นพวก

ดังที่เริ่มแล้วด้วยการไปตรวจงานน้ำท่วมที่ จ.สมุทรปราการ ที่ระดม ส.ส.พปชร.มาต้อนรับกันอย่างพร้อมหน้าเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และกำลังเตรียมไปชัยนาท และชลบุรี อย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ยังต้องสร้างปฏิสัมพันธ์กับมุ้งต่างๆ ในพรรคมากยิ่งขึ้น

อย่างการรุกด้วยการเชิญนายสันติ พร้อมพัฒน์ เข้าพบ

หรือการการเชิญนายสมศักดิ์ เทพสุทิน มาหารือ

บุคคลเหล่านี้ ล้วนมีศักยภาพที่พอจะดึงคนในพรรคมาถ่วงดุลกับกลุ่มของ ร.อ.ธรรมนัสได้

ภาวะการแข่งขันช่วงชิงในพรรค พปชร.จากนี้จึงเข้มข้น

 

แน่นอนว่า ย่อมทำให้ พล.อ.ประวิตรในฐานะหัวหน้าอยู่ในภาวะที่อึดอัดใจ จะบริหารหรือถ่วงดุลอำนาจอย่างไร เป็นเรื่องไม่ง่าย

แต่เราก็เริ่มเห็นร่องรอยที่ พล.อ.ประวิตรเริ่มแสดงความเป็นตัวของตัวเองชัดเจนขึ้น

สดๆ ร้อนๆ ก็คือการมีคำสั่งเมื่อวันที่ 14 กันยายน ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร. แต่งตั้ง พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา รุ่นน้องคนสนิทของ พล.อ.ประวิตร เป็นประธานกรรมการยุทธศาสตร์พรรค พปชร.

โดย พล.อ.วิชญ์จะมาแทนที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่ม 3 มิตร ที่ดำรงตำแหน่งนี้อยู่

ปฏิบัติการนี้เป็นไปอย่าง “รวดเร็ว” และไม่มีใครคาดหมาย

ถือเป็นการวางคนใกล้ชิดเข้าไปในตำแหน่งสำคัญ แทนนายสมศักดิ์ ที่ถูกจับตามองว่ากำลังเป็นเป้าหมายที่ฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์จะมอบบทบาทให้มีมากขึ้นในการดูแลพรรค เพื่อถ่วงดุลกับ พล.อ.ประวิตร และ ร.อ.ธรรมนัส ที่ตอนนี้ก็ชัดเจนแล้วว่า ยังยื้ออยู่ในพรรคและอยู่ในตำแหน่ง

โดยเมื่อวันที่ 15 กันยายน ร.อ.ธรรมนัสและนางนฤมลได้เข้าร่วมประชุมพรรค พปชร.พร้อมกับ พล.อ.ประวิตร

ตอกย้ำความเป็นขั้วใหญ่ในพรรค แม้จะถูกปลดจากรัฐมนตรีก็ตาม

 

นี่จึงเป็นร่องรอยที่สะท้อนความเป็นไปของพรรค พปชร.

ที่แม้ด้านหนึ่งจะร่วม “โชว์กอด” กับ พล.อ.ประยุทธ์เหมือนแสดงว่าปัญหาขัดแย้งยุติกันแล้ว

แต่ระหว่างที่กอดนั้น

เราก็ได้ยินเสียงกรอด-กรอด ขบเหลี่ยม-เคี้ยวฟัน สะท้อนการต่อสู้แย่งชิงอำนาจ

แว่วออกมาให้คนข้างนอกได้ยิน ให้ชวนเสียวด้วย!