ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 กันยายน 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | Cool Tech |
ผู้เขียน | จิตต์สุภา ฉิน |
เผยแพร่ |
Cool Tech
จิตต์สุภา ฉิน
@Sue_Ching
Facebook.com/JitsupaChin
แว่น Facebook
ทำได้มากกว่ากันแดด
ที่ผ่านมาเราเห็นมาโดยตลอดว่าแม้ว่าอาณาจักร Facebook จะกว้างใหญ่ไพศาลแค่ไหน แต่บริษัทก็ได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ขอเป็นแค่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเดี่ยวๆ แต่เพียงอย่างเดียว
แต่ขอเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่จะสร้างเทรนด์ใหม่ให้กับโลกอนาคตให้ได้
โดยเมื่อเร็วๆ นี้เอง Facebook ก็เพิ่งจะแถลงวิสัยทัศน์ที่แสนจะทะเยอทะยานว่าจะขอเป็นบริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยี metaverse ที่จะผนวกรวมระหว่างโลกแห่งความเป็นจริงเข้ากับโลกดิจิตอลให้ได้ภายในอีกแค่ 5 ปีข้างหน้า
ความเคลื่อนไหวล่าสุดที่แสดงให้เห็นว่านี่คือทิศทางที่ Facebook กำลังมุ่งหน้าไปอย่างมั่นคงก็คือการที่นายใหญ่อย่าง Mark Zuckerberg ออกมาเปิดตัวแก็ดเจ็ตใหม่ด้วยตัวเอง
สิ่งนั้นก็คือแว่นอัจฉริยะที่ Facebook จับมือร่วมกับ Ray-Ban แบรนด์แว่นกันแดดที่ทุกคนรู้จักเป็นอย่างดี
แว่นกันแดด Ray-Ban Stories เป็นแว่นที่ออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่ายแสนง่าย ความอัจฉริยะของมันก็คือความสามารถที่ทำได้มากกว่ากันแดด
เพราะตัวแว่นติดตั้งมาพร้อมกล้องที่จะทำหน้าที่ถ่ายภาพและบันทึกวิดีโอได้ด้วยการใช้เสียงสั่งการ กรอบแว่นสามารถเชื่อมต่อเข้ากับแอพพลิเคชั่น เพื่อให้พร้อมสำหรับแชร์ Facebook ได้ทันที
Ray-Ban เลือกใช้กรอบแว่น Wayfarer ซึ่งเป็นกรอบแว่นสุดคลาสสิคที่มีมาตั้งแต่ปี 1952 แล้วก็ดัดแปลงผนวกรวมเทคโนโลยีสมัยใหม่ใส่เข้าไปภายใต้ลุคที่ยังคงดูคลาสสิคไม่เปลี่ยนแปลง
ดูภายนอกเพียงผิวเผินจะไม่มีใครรู้เลยว่านี่คือแว่นกันแดดอัจฉริยะ
แต่ถ้าพิจารณาดูใกล้ๆ ก็จะเห็นความแตกต่างว่าบริเวณขาแว่นจะอวบกว่าแว่น Wayfarer ทั่วไป และจะมีกล้องขนาดเล็กฝังอยู่บริเวณรอยต่อระหว่างขาแว่นกับเลนส์แว่นด้วย
สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจเล็กน้อยก็คือแว่นกันแดดอัจฉริยะนี้ยังไม่เชิงเข้าคอนเซ็ปต์โลก metaverse ของ Facbook เสียทีเดียว
เพราะตัวมันเองไม่ได้มีความสามารถในการทำความจริงเสมือนได้ ไม่ได้มาพร้อมกับพลังคำนวณของคอมพิวเตอร์หรือความสามารถในการทำแผนที่หรือรู้จำใบหน้า
แต่แว่นกันแดดอัจฉริยะเป็นเหมือนก้าวแรกของ Facebook ในการก่อร่างสร้างรูปให้กับอนาคตของแก็ดเจ็ตประเภทแว่นตาอัจฉริยะที่เราสวมใส่ได้อย่างกลมกลืนในชีวิตจริงมากกว่า
หากจะให้เดาว่ามีใครที่รู้สึกเจ็บใจสุดๆ ก็น่าจะเป็นบริษัทอย่าง Snapchat แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียสุดฮิตแต่ไม่ฮิตในเมืองไทยที่ถูก Facebook ก๊อบปี้ไอเดียครั้งแล้วครั้งเล่า
หนึ่งในฟีเจอร์ของ Snapchat ที่ผู้ใช้งานชื่นชอบก็คือ Snap หรือการแชร์ภาพง่ายๆ ที่จะหมดอายุภายในเวลา 24 ชั่วโมง โดยมีลูกเล่นของการตกแต่งภาพและใส่ฟิลเตอร์สนุกๆ เข้าไปด้วย
คุณผู้อ่านหลายคนอาจจะคุ้นเคยกับฟีเจอร์นี้ในชื่อของ Instagram Stories หรือ Facebook Stories อยู่แล้วเพราะ Facebook ได้ลอกฟีเจอร์นี้มาอยู่บนแพลตฟอร์มของตัวเอง
และด้วยความที่มีฐานผู้ใช้งานใหญ่กว่าทำให้เวลาผ่านไปไม่นาน ผู้ใช้ก็เริ่มเข้าใจไปว่านี่คือฟีเจอร์ที่เป็นออริจินอลของ Facebook จริงๆ
เจ็บใจจากการถูกขโมยฟีเจอร์ Snap ไปยังไม่พอ การเปิดตัวแว่น Ray-Ban Stories ครั้งนี้น่าจะเป็นการตอกย้ำซ้ำเติมบาดแผลเดิมของ Snapchat ให้ยิ่งเจ็บลึกไปกว่าเก่า
เพราะแว่นแบบเดียวกันนี้ Snapchat ก็เคยเปิดตัวมาแล้วตั้งแต่ปี 2018 ภายใต้ชื่อว่า Spectacles ที่รายละเอียดเหมือนกันแทบทุกอย่าง
คือใช้เพื่อถ่ายภาพและวิดีโอจากมุมมองบุคคลที่หนึ่งแล้วส่งไปแชร์บน Snapchat ได้ทันที
ในขณะที่แว่น Ray-Ban Stories ก็ส่งภาพไปแชร์บน Facebook Stories ตามคอนเซ็ปต์เดียวกันเป๊ะ
ในตอนนั้น Spectacles ไม่ได้รับความนิยมสักเท่าไหร่อาจจะด้วยความที่มาก่อนกาลเล็กน้อยและแพลตฟอร์มไม่แมสเท่ากับ Facebook
แต่อีกองค์ประกอบหนึ่งที่ฉันคิดว่าทำให้แว่น Ray-Ban Stories น่าสนใจมากกว่า Spectacles ก็คือการจับมือกับ Ray-Ban และทำให้แว่นอัจฉริยะดูเป็นแว่นกันแดดเท่ๆ ที่กลมกลืนกับชีวิตประจำวันนี่แหละ
ฉันเองก็เป็นเจ้าของแว่น Spectacles และได้เคยมาเขียนรีวิวไว้ในคอลัมน์นี้แล้วด้วย
หนึ่งในความหงุดหงิดใจจากการใช้งานนอกเหนือจากการที่ Snapchat ไม่ใช่โซเชียลมีเดียหลักที่คนไทยใช้ ก็คือการที่ดีไซน์ของมันตะแล็ดแต๊ดแต๋เสียเหลือเกิน
เวอร์ชั่นแรกๆ ที่ออกมาดีไซน์เน้นไปที่ความแปลกใหม่ สดใส แตกต่าง แต่แตกต่างมากเสียจนทำให้จับคู่กับลุคการแต่งตัวค่อนข้างยาก
และแม้ว่า Spetacles รุ่นหลังๆ จะออกแบบมาได้สวยขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็เหมือนกับจะสูญเสียความสนใจจากผู้ใช้ไปเสียแล้ว
เท่าที่ดูเบื้องต้นการใช้งานของแว่น Ray-Ban Stories ก็ไม่ได้ออกแบบมาให้ยุ่งยากอะไร ใช้ถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอ รับสายสนทนาได้เพราะมีลำโพงและไมโครโฟนฝังมาด้วย
ผู้ใช้สามารถกดปุ่มเพื่อให้เริ่มถ่ายภาพเองก็ได้ หรือจะใช้เสียงสั่งการว่า “Hey Facebook” เอาก็ได้
และมีฟีเจอร์ที่ปกป้องความเป็นส่วนตัวของคนรอบตัวที่อาจถูกแอบถ่ายด้วยหลอดไฟ LED เล็กๆ สีขาวที่จะสว่างโร่ขึ้นมาเมื่อกดบันทึกภาพ และยังมีปุ่มให้ปิดกล้องและไมโครโฟนของแว่นได้ด้วย
แต่ถึงจะอย่างนั้นคนจำนวนมากก็ยังไม่ได้วางใจ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา Facebook ก็ไม่ได้มีชื่อเสียงที่ดีสักเท่าไหร่ในเรื่องการปกปักษ์รักษาข้อมูลและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้
เอาเข้าจริงๆ จะมีสักกี่คนที่จะไปสังเกตเห็นไฟดวงเล็กจิ๋วบนแว่นกันแดดของคนอื่น อันนี้ไม่ต้องทำนายล่วงหน้าก็รู้แน่นอนอยู่แล้วว่าจะมีคนที่ถูกแอบถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอ และบันทึกเสียงสนทนาไว้ในแบบที่ไม่รู้ตัวเพิ่มขึ้นแน่นอน
อย่างไรก็ตาม แว่นกันแดด Ray-Ban Stories นี้จะมีประโยชน์มากๆ สำหรับคอนเทนต์ครีเอเตอร์หรือใครก็ตามที่ชอบแชร์เรื่องราวต่างๆ ในชีวิต
โดยเฉพาะคอนเทนต์ที่เหมาะกับการนำเสนอในมุมมองบุคคลที่หนึ่ง ตั้งแต่การเล่นกีฬาไปจนถึงทำอาหาร เพราะเราไม่จำเป็นต้องยกโทรศัพท์หรือกล้องขึ้นมาถ่าย มือทั้งสองข้างของเราจะว่างให้ทำกิจกรรมได้อย่างเต็มที่
(ถึงจะรู้สึกประหลาดนิดๆ ที่จะใส่แว่นกันแดดไปด้วยทำอาหารไปด้วยก็ตาม)
ไหนๆ ก็พูดถึงเรื่องการมาก่อนกาลไปแล้ว คนที่มาก่อนกาลที่สุดในเรื่องนี้น่าจะเป็น Google Glass แว่นอัจฉริยะหน้าตาประหลาดที่เกิดและดับไปในเวลาไม่นาน ด้วยความที่ดีไซน์แปลกประหลาดและราคาแพงเข้าขั้นโหด
แต่ถ้าจะว่ากันที่เรื่องฟีเจอร์ Google Glass ก็นับเป็นแว่นที่อัจฉริยะกว่ารุ่นน้องที่ตามมาทีหลังเยอะ เพราะสามารถแสดงผลข้อมูลตรงหน้าผู้สวมใส่ได้ ให้ความรู้สึกเหมือนโลกอนาคตอย่างแท้จริง
ในขณะที่ Ray-Ban Stories เริ่มต้นด้วยฟีเจอร์เพียงไม่กี่อย่าง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เกินคาดเดาว่า Facebook ก็จะต้องผลักขอบเขตของมันออกไปให้กว้างกว่าเดิมได้แน่ๆ
และเมื่อมีผู้เล่นรายใหญ่รายอื่นเข้ามาขอแจมเพิ่ม ตลาดแว่นอัจฉริยะก็น่าจะมีทั้งคึกคักและครึกครื้นขึ้นกว่าที่ผ่านมาแน่นอน