เรื่องสั้น : เหงือก

เขาเปิดประตูร้านขายยาเข้าไป แดดบ่ายภายนอกร้อนอบอ้าวในเดือนเมษายน เหงื่อชุ่มเสื้อจนดูเหมือนโดนสาดน้ำมา ทำให้ซองบุหรี่ในกระเป๋าเสื้อเปียก หนวดเคราสีขาวรุงรังเฟิ้มปาก ขาวเหมือนที่เส้นผมของเขาขาวโพลนไปทั้งหัว รวบผมด้านหน้าไปด้านหลังแล้วมัดด้วยหนังยาง เสื้อเชิ้ตตัวโคร่งแขนยาวสีส้มอ่อนถูกพับแขนเลยศอก ปล่อยเสื้อลุ่ยชายและไม่กลัดกระดุมสองเม็ดบน กางเกงยีนส์ยี่ห้อดังสีเข้ม รองเท้าผ้าใบสีเขียวจัด ทำให้เภสัชกรหญิงต้องเงยหน้าจากการจัดยาในตู้ขึ้นมามอง

“ซื้อยาหรือคะลุง?” เธอเอ่ยถามด้วยความคลางแคลงใจ แต่นั่นทำให้เขาหยุดกึก เท้าที่ย่างจะถึงเคาน์เตอร์กระจกที่เภสัชกรหญิงกำลังจัดยาหยุดชะงัก ดูเหมือนเขาจะไม่พอใจอะไรบางอย่าง ก้มดูสารรูปตนเองแล้วขมวดคิ้ว ก่อนไปส่องกระจกดูเงาตนเองอีกครั้ง

“มันร้อน แล้วผมเดินฝ่าแดดมาไกล โน่นแน่ะ ผมมาจากตรงโน้น” เขายกมือขวาชี้ไปส่งเดช “กว่าจะหาร้านยาเจอสักร้านผมแทบจะทรุดตัวลงร้องไห้ข้างถนน ผมอายุ 48 อย่าเรียกว่าลุงเลยน้อง” เสียงของเขาดังและออกท่าทางแสดงตลอดเวลา ตอนที่เขาบอกว่าอายุ 48 นั้น เขาตบอกตัวเองผางๆ แล้วชี้นิ้วเดาะไปที่เภสัชกรหญิงในคำว่าน้อง เภสัชกรหญิงจึงถามย้ำอีกครั้งว่ามาซื้อยาหรือ? โดยไม่เอ่ยสรรพนามว่าลุงหรือพี่

“แดดมันร้อนสิ้นดี ร้อนยังกะแดดเดือนห้า อ้อ นี่มันก็เดือนห้านี่หว่า”

“เดือนสี่ค่ะ” เธอยกปฏิทินตั้งโต๊ะให้เขาดู

“เมษายนเป็นเดือนที่สี่ของปี”

“ผมรู้ๆ แต่นั่นมันคติฝรั่งที่นับเอาดวงอาทิตย์เป็นเกณฑ์ บ้านเราน่ะนับแบบจันทรคติ เดือนนี้ก็จะตกเดือนห้า คือมันต้องดูข้างขึ้นข้างแรมน่ะ ร้านติดแอร์เย็นฉ่ำดี ค่อยยังชั่วหน่อย” เขาจับคอเสื้อเชิ้ตแล้วกระพือเบาๆ ให้ไอเย็นของอุณหภูมิต่ำกว่าภายนอกร้านโลมร่าง

“มาหายาอะไรคะ?” เธอถามเข้าประเด็น เริ่มมองเขาด้วยสายตาไม่ไว้ใจ

“เจ็บเหงือก หายาแก้เหงือกอักเสบ” เขายกเปลือกปากบนด้านซ้ายแล้วใช้นิ้วชี้ให้ดู

“เหงือก?”

“ใช่ เหงือกนี่แหละ เหงือกบางๆ นุ่มๆ ของมนุษย์นี่แหละ มันเจ็บ อักเสบ บวมเป่งจนลิ้นรู้สึกได้ น้องเอ๊ย เวลาเอาลิ้นไปแตะๆ ดูว่าบวมเป่งแค่ไหน มันโคตรทรมานเลย อูย” เขาครางเสียงประกอบให้เห็นว่าเจ็บจริง

เภสัชกรหญิงลองใช้ลิ้นแตะเหงือกของตนดู ลิ้นดุนริมฝีปากบนจนมองเห็นเหมือนปากลิง เธอควานซ้ายควานขวาอยู่ครู่หนึ่ง หน้าตาก็ครุ่นคิด คิ้วขมวดยู่ เขามองแล้วตะลึง ด้วยไม่คิดว่าเด็กสาวใบหน้าสวยๆ อย่างเธอจะเหมือนลิงได้มากขนาดนี้ นี่ดีหน่อยที่เธอมีผิวพรรณดี ขาวสะอาด หากผิวคล้ำละก็คงไม่ต่างลิงกังหรือชิมแปนซีแน่ เขายิ้มแฉ่งมองเธอ แล้วเอ่ยถามว่าเธอกำลังทำอะไร

“ก็พยายามหาสมมติฐานว่าหากจะเจ็บเหงือกขึ้นมานั้น มันควรจะอยู่บริเวณใด อันจะนำไปสู่การค้นหาเหตุแห่งการเจ็บได้ง่ายขึ้น” เธอลอยหน้าตอบ รู้สึกขวยอายที่เห็นเขามองยิ้มๆ ปากเธอขวิดขึ้นบอกอาการของเด็กขี้งอนเอาแต่ใจ

“ผมเป็นคนเจ็บ ถ้าน้องอยากรู้ว่าเจ็บตรงไหนน้องต้องถามผมสิ ถูกไหม? นี่เลย” เขาอ้าปากกว้างแหงนหน้าขึ้น แล้วชี้เข้าไปในปาก “ตรงนี้ อูย เจ็บมาก บวมเป่งแดงแว้งเลย เห็นเปล่า?”

เธอไม่ได้ชะโงกเข้าไปดู หากแต่ผงะถอยหลังไปครึ่งก้าว นาทีนี้เธอแน่ใจแล้วว่าเขาไม่เต็มเต็ง แต่ยังไม่มีอาการคุ้มดีคุ้มร้ายออกมา เธอยังปลอดภัย

“จะมาหาซื้อยาแก้เจ็บเหงือกใช่ไหม?” เธอถามด้วยน้ำเสียงกระด้างบอกความขุ่นเคืองใจ “ใช่ๆ ยาแก้เจ็บเหงือก เหงือกข้างใน” เขาจะอ้าปากให้ดูอีกครั้ง แต่เธอรีบยกมือห้ามเอาไว้

“มันเป็นยังไงอีกเหงือกข้างใน?” เธอสงสัย เลยย้ำถามอีกครั้งว่า “เจ็บเหงือกใช่ไหม?”

“ก็ใช่ บอกไปแล้วว่าเจ็บเหงือก มันเจ็บจริงๆ กินข้าวกินปลาก็ไม่ได้ ราวกับโดนหอกแหลมแทงทิ่ม อูย” เขายกมือขึ้นปิดปาก สีหน้าบอกความเจ็บปวดรวดร้าวเหลือแสน

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับกินไม่ได้?” เภสัชกรหญิงไม่หายสงสัยสักที หากเขาไม่สามารถดื่มน้ำ หรือกลั้วคอบ้วนปากได้ นี่ยังจะดูสมกับอาการที่เป็นมากกว่า เขาถึงกับร้องอ้าวเสียงดัง อาการปวดร้าวเหลือแสนเมื่อสักครู่หายดั่งจะเป็นปลิดทิ้ง

“ก็เหงือกมันเจ็บ แล้วจะเคี้ยวอะไรได้เล่าแม่คุณ” เขาขึ้นเสียงสูงตรงคำว่าคุณ เธอเองก็ไม่ลดละที่จะอธิบายว่าเจ็บเหงือกนั้นยังสามารถเคี้ยวข้าวได้ เขายืนยันว่าไม่ได้ แล้วแหงนหน้าอ้าปากกว้างๆ ให้ดูอีกครั้งพร้อมกับชี้ตรงบริเวณด้านหลังฟันหน้า เภสัชกรหญิงชักหงุดหงิด เม้มปากแล้วทิ้งไหล่ลงอย่างขัดใจ

“เอ้า ยิงฟันซิลุง ยิงฟันน่ะทำเป็นใช่ไหม?” ดวงตาคมๆ ตวัดเข้าเชือดดวงตากลมกลิ้งของเขา

“ผมอายุ 48 เรียกพี่สิน้อง” คราวนี้เขาเคืองขึ้นมาจริงๆ

“เอาล่ะ จะ 48 รึ 84 ก็ช่าง แต่ที่เรียกว่าเหงือกๆ น่ะ รู้จักไหมว่าเหงือกมันอยู่ตรงไหน? ยิงฟัน!” เธอออกคำสั่งเสียงเฉียบ ทำให้เขาต้องหุบปากที่จะเถียงอะไรออกมา แล้วยิงฟันขึ้นมาทันที

“โห นี่ฟันหรืออิฐกำแพงโบราณกันแน่” ฟันขาวสะอาดเรียงเป็นระเบียบของเธอเผยขึ้นอวด เป็นรอยยิ้มสะใจที่ได้พูดกระแทกเขาแรงๆ เขารีบหุบปากแล้วเม้มแน่นอีกครั้ง รู้สึกอายที่ฟันตนไม่สวยไม่ขาว ยืนตาปริบๆ ด้วยไม่รู้จะโต้ตอบประการใดดี

“เอ้า ยิงฟันใหม่อีกทีซิ” เธอออกคำสั่งอีกครั้ง แต่คราวนี้ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกลั้วหัวเราะในคอ เขาไม่กล้าจะเผยฟันอีกแล้ว ทั้งอายทั้งโกรธ อยากจะไปให้พ้นๆ ร้านนี้สักที แต่แถวนี้ไม่มีร้านขายยาเลย แดดก็ร้อนเปรี้ยงออกขนาดนี้

“เอาน่า ยิงฟันอีกที อย่าอายเลย จะได้จัดยาให้ถูก” คราวนี้เธอพูดปลอบประโลมให้เขาหายงอน

เขารวบรวมความกล้ายิงฟันขึ้นมาอีกครั้ง หลับตาปี๋ไม่อยากเห็นสีหน้าของเธอ แต่หูเจ้ากรรมกลับได้ยินเสียงดังคิกๆ อยู่เบื้องหน้า เธอคงกำลังหัวเราะเยาะฟันเราแน่ – เขาคิด

“ลืมตาสิ” เธอสั่ง

“เหงือกคือบริเวณนี้” เธอใช้นิ้วชี้ปาดแบบไม่ให้ถูกเหงือกเขา “มีหน้าที่ยึดรากฟันและเส้นประสาทเชื่อมโยงไปสมอง อี๋ เหงือกดำยังกะชักโครกเก่า ฟันก็เหลือง สูบบุหรี่ให้เยอะๆ เลยนะ ปากจะได้เป็นส้วมสาธารณะ แล้วแถบฟันล่างหายไปไหน?” เธอรีบถอยหลังออกมาพร้อมเอ่ยถาม

“ก็อยู่นี่ไง” เขายิงฟันอีกครั้ง คราวนี้ยื่นคางออกมาด้านหน้าจนสุด กระนั้นฟันล่างก็ยังอยู่เพียงระดับพอดีกับแถวฟันบน

เขาถอนหายใจดังเฮือก อันที่จริงเขามีความอับอายเรื่องฟันตนเองมาโดยตลอด มันไม่สวยไม่เป็นระเบียบเลยแม้น้อย หนำซ้ำยังผิดรูปผิดร่างจนไม่กล้ายิ้มกว้างให้ใครเห็น ไม่มีฟันบนล่างคู่ใดเลยที่จะสบกันได้ ซ้ำร้ายฟันแต่ละซี่ก็ซ้อนเกยกันจนดูยุ่งเหยิง ดังนั้น เมื่อโดนเภสัชกรหญิงคนสวยอายุคราวลูกแสดงท่าทีรังเกียจ เขาจึงหุบปากอย่างไว

“เอาล่ะ คุณจะเรียกส่วนไหนว่าเหงือกก็เรื่องของคุณ ฉันจะจัดยาให้ อาการเป็นยังไงบ้างล่ะ?”

“ก็…” เขาขาดความมั่นใจเสียแล้ว ร้านขายยาก็เหมือนดั่งคุกแคบๆ ขึ้นมาทันที อึดอัดหายใจไม่ออก แอร์ที่เปิดเย็นฉ่ำก็พาลจะร้อนเอาดื้อๆ เหงื่อเม็ดเป้งๆ ก็ทำท่าจะผุดขึ้นมาเต็มตัว เขายืนกระสับกระส่าย ได้แต่ทำไม้ทำมือยกขึ้นยกลงอย่างไม่มีเหตุผล

“เอ้า อาการยังไงล่ะ กินยาแล้วจะได้หายปวด” เธอรำคาญเต็มทีจนต้องขึ้นเสียง

“ฉันอายุ 48 แล้วนะ น้องพูดเสียงเบาๆ หน่อย เดี๋ยวใครได้ยิน”

“เอาล่ะ บอกอาการมา” เธอลดเสียงลงในระดับปกติอย่างอ่อนอกอ่อนใจ

“เจ็บเหงือก เอ้อ เจ็บในปากน่ะ มันบวม เป็นหนอง เคี้ยวอะไรไม่ได้ กินของเผ็ดร้อนไม่ได้ แล้วลงว่ากินข้าวไม่มีรสเผ็ดนี่ กินยังไงก็ไม่อิ่มเลย อูย”

“ไปโดนอะไรมา?”

“กระดูกไก่ กินข้าวมันไก่แล้วเขาสับกระดูกไก่แตก ตักข้าวเข้าปากก็ติดไปด้วย พอเคี้ยวดังกร้วม เศษกระดูกไก่ก็ทิ่มเหงือกบนติดแน่น มีเลือดไหลซึมเล็กน้อย พยายามฝืนกินจนหมดเหมือนกัน เสียดาย แล้วมันก็ระบมบวมเป่งจนเป็นหนอง อูย”

“โอเค เข้าใจแล้ว กินข้าวมันไก่แล้วเศษกระดูกแทงเพดานปากจนเป็นหนอง กินและทายาอะไรมาก่อนบ้างแล้วยัง?”

“สมุนไพรสารพัดแหละ พวกการบูร กานพลู ยาตราเอ็มสิบหก ตรานกแก้ว บ้วนน้ำเกลือ อมน้ำมันมะพร้าวสกัดสูตรเย็น จนแม้แต่ให้หลวงตาที่วัดชี้ให้ก็แล้ว”

“ชี้อะไร? ชี้ทำไม?” เธอไม่เข้าใจวิธีรักษาของเขา

“เอ๊า ก็หลวงตาชี้แล้วเป่าคาถาให้เศษกระดูกหลุด ให้แผลสมานเร็วขึ้นไง ของเก่าแก่โบราณทำมากันนานนม ได้ผลดียิ่งเลยนะ”

“งั้นกลับไปให้หลวงตาชี้อีกรอบเถอะ” เธอส่ายหน้าระอาใจ ทำท่าจะนั่งเก้าอี้

“เดี๋ยวก่อนสิ หลวงตาศักดิ์สิทธิ์ก็จริง แต่ผมก็อยากได้ยาสักชุด เร่งให้มันหายไวขึ้น”

“แล้วลุงคิดว่าจะต้องใช้ยาอะไรล่ะ ถ้าจะเอาการบูร กานพลู เมนทอล อะไรพวกนี้ ที่นี่ไม่มี ลุงต้องไปร้านขายยาสมุนไพร และฉันรู้แล้วว่าลุงอายุ 48 ไม่ต้องบอกซ้ำ”

“ยาแก้ปวดกับแก้อักเสบ รักษาด้วยวิธีนี้มาตลอด ได้ผลดี”

เธอเลื่อนกระจกตู้แล้วหยิบกระป๋องยาแก้อักเสบมานับจำนวนเม็ด เขี่ยๆ ใส่ถาดยาแล้วเทลงถุง แล้วเอื้อมหยิบยาแก้ปวดมาหนึ่งแผง นับจำนวนให้พอดีวันกับยาแก้อักเสบ

“มีแพ้ยาตัวไหนบ้าง?” เสียงเธอสะบัดห้วน

“ไม่มี มีแต่แพ้บอล แพ้หวย” เขาเล่นลิ้นตอบไปหมายให้บรรยากาศดีขึ้น แต่ปรากฏว่าไร้ผล

“ยาแก้อักเสบเม็ดสีขาวเขียว เป็นแคปซูล กินก่อนอาหารวันละสี่เวลา ครั้งละหนึ่งเม็ด ให้กินจนหมด ส่วนยาแก้ปวดให้กินเฉพาะตอนปวด หนึ่งร้อยยี่สิบบาท”

เขาล้วงเงินจากกระเป๋านับแล้วส่งให้ แต่เธอกลับทำสีหน้าสงสัยไม่ยอมรับเงิน จนเขาต้องถามว่าทำไมจึงมองอย่างนั้นแล้ววางเงินลงบนเคาน์เตอร์

“ไหนลุงอ้าปากกว้างๆ อีกทีซิ”

“หือ?”

“อ้าปากกว้างๆ ฉันผิดสังเกตบางอย่าง” เขาอ้าปากกว้างอย่างอายๆ อีกครั้ง นึกแปลกใจตนอยู่เหมือนกันที่ทำตามสั่งอย่างว่าง่าย

“คางสั้น ทำให้ฟันล่างทั้งแถบอยู่ลึกเข้าไป ไม่มีฟันคู่ไหนเลยที่จะสบกันให้เคี้ยวเต็มคำ ดังนั้น ทำให้การบดเคี้ยวแรงขึ้นตามไปด้วย ฟันกราม…” เธอชี้นิ้วไปที่แก้มตรงกรามซ้ายของเขา

“ฟันกรามเตี้ยต่ำจากแรงบดเคี้ยวอย่างแรง กรามที่ไม่สบทำให้เคี้ยวได้เพียงส่วนเดียวของกรามล่างกับบน กรามด้านนั้นจึงลาดลงต่ำทำให้ลาดเอียงลงไปยิ่งขึ้น” เธอถอนหายใจเวทนา

“ฟันซี่อื่นๆ ก็ซ้อนเกยกันไม่เป็นระเบียบ ยากต่อการทำความสะอาด ฟันล่างหน้าซ้ายซี่หนึ่งยื่นง้างออกมา ทำให้ไปงัดซี่บนจนคลอน เวลาเคี้ยวข้าวไอ้ซี่ที่ง้างก็ไปหนุนเศษกระดูกไก่ขึ้นข้างบน ทีนี้ความที่คางสั้นไม่มีซี่ใดสบเลย ทำให้เศษกระดูกไก่ไปแทงเพดานปากจนเป็นหนอง เพราะไม่มีฟันบนคอยป้องกัน นี่มันเกิดจากโครงสร้างของปากชัดๆ กินยาแก้อักเสบกันจนตายแหละลุง”

เขาอ้าปากค้างฟังคำวินิจฉัยอย่างสุดทึ่ง เธอวิเคราะห์สาเหตุได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เป็นจริงเช่นนั้นเขาเองก็รู้ดี ในใจนึกชมที่เธอมีความรู้เอาใจใส่ในการจัดยา แต่ถ้าเธอลดกิริยาก้าวร้าวลงบ้างก็จะดีไม่น้อย เขาอายุ 48 แล้วนะ แก่กว่าเธอตั้งหลายปี

“ลุงต้องเคี้ยวข้างขวาบ้าง เคี้ยวข้างเดียวทำให้ฟันสึกกร่อนเร็วข้างเดียว”

“ไม่มีกรามขวา” เขาตอบเสียงอ่อย เสียงเธอดังฮะอุทานด้วยแปลกใจ

“แล้วมันไปไหน?”

“ถอนไปนานแล้ว กรามบนขวาแตกหลังจากกรออุดหลายครั้ง เหลือกรามล่างอย่างเดียวก็เคี้ยวไม่ได้ เลยต้องเคี้ยวด้วยกรามซ้ายมาตลอด”

“เวรกรรม ก็หมายความว่าลุงจะเจ็บเพดานปากบริเวณนั้นมาโดยตลอดด้วยใช่ไหม?”

“ใช่ เจ็บมาตลอด เคี้ยวอะไรแข็งๆ เพลินๆ หน่อยก็เมื่อนั้น แต่หนนี้มันหนักเอาการ ดูเหมือนจะมีโยกคลอนด้วยสิ”

“และกินยาแก้ปวดแก้อักเสบมาตลอด?”

“ใช่ กินมาตลอด กับให้หลวงตาชี้”

“เวรกรรม เจ็บขนาดนี้ทำไมไม่ไปหาหมอ?”

“หมออยู่ไกลนี่นา นี่เดินตากแดดมาไกลก็ยังไม่เจอคลินิกสักแห่ง ร้านยาก็ยังเจอแค่ที่นี่ร้านเดียวเลย ถ้ามีที่อื่นอยู่ใกล้ก็ไปนานแล้ว” น้ำเสียงงอนๆ ของเขาทำให้เภสัชกรสาวขุ่นเคือง

“เจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องหาหมอหายา ไม่พอใจก็เอาเงินคืนไป” เธอกวาดเงินหนึ่งร้อยยี่สิบบาทบนเคาน์เตอร์กระจกคืนให้

“โอเคๆ ไม่บ่น”

“ลุงฟังนะ นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก ไม่ใช่แค่เรื่องเคี้ยวซุ่มซ่ามให้กระดูกแทงปาก แล้วหายากินยาทาก็จบ ไม่ใช่แค่นั้นนะลุง โครงสร้างปากลุงมีปัญหา มันไม่ได้ส่วน ทำให้การเคี้ยวกัดเป็นไปอย่างผิดรูปแบบ ฟันจะโยกคลอนทั้งหมด ลุงจะเคี้ยวอาหารได้ยาก ไม่ละเอียด ครั้นกลืนลงคอไป กระเพาะอาหารก็ต้องทำงานหนัก กลายเป็นโรคกระเพาะหรืออาจกระเพาะเป็นแผล เป็นกรดไหลย้อน จากนั้นลำไส้ใหญ่น้อยก็ต้องรับภาระหนัก ต่อมาอาจทำให้เป็นมะเร็ง จนกระทั่งขี้เหม็นตดเหม็น ลุงจะเป็นริดสีดวงเลือดไหลทะลักเต็มส้วม”

เขายืนอึ้งฟังเภสัชกรหญิงพรรณนาภัยของการเคี้ยวไม่ละเอียดด้วยความสยอง ถึงขนาดนั้นเชียวเรอะ? ให้นึกสงสัยตงิดๆ

“แล้วนี่เพดานปากโดนทิ่มแทงอยู่ที่เดียวมาโดยตลอด มันก็มีสาเหตุมาจากฟันที่บิดเบี้ยวนี่แหละ สักวันเพดานปากตรงนั้นจะแข็งเป็นไต แล้วเป็นมะเร็ง ลุงต้องฉายแสงต้องคีโม ต้องพักฟื้น หัวจะล้าน จะอ่อนเพลีย ภูมิคุ้มกันร่างกายจะอ่อนลง ซุ่มซ่ามกัดลิ้นตัวเองเข้าไปก็จะเป็นบาดทะยักเอาง่ายๆ” เธอรู้สึกสะใจที่ได้เหน็บเขาเรื่องบาดทะยัก เขาครางในลำคอว่าโอย นึกหวาดกลัวว่าจะเป็นจริงเช่นเธอว่า การเข้าส้วมถ่ายหนักแต่ละครั้งก็จริงเช่นนั้น ถ่ายแข็งจนเจ็บหูรูด เหมือนๆ หูรูดจะปริปลิ้นออกมาโดยรอบ เขาสะบัดตัวให้ขนแขนเรียบลง

“ลุงนอนกัดฟันด้วย” เธอยังไม่จบ จ้องตาเขาเขม็งรอคำตอบ เขาถึงกับสะดุ้งที่เธอทายได้ถูกเผง นี่เธอเป็นเภสัชหรือหมอดูกันแน่?

“ใช่ น้องรู้ได้ยังไง?”

เธอเหยียดปากลงต่ำอย่างถากถาง มือกอดอกยืดตัวตรงไว้ภูมิ

“สีผมของลุงไง ขาวโพลนทั้งหัวทั้งเคราอย่างนี้ ไม่เครียดจัดจะให้บอกว่าแพ้ผมหรือ?”

นึกขยาดฝีปากเธอจริงๆ หน้าตาก็สะสวย การศึกษาก็ดี ร้านยาก็ตกแต่งงดงามมีรสนิยม อายุก็ยังน้อยอยู่ ทำไมจึงพูดจาเชือดเฉือนหัวใจคนนัก

“ผมนอนไม่หลับมานานแล้ว เครียดเรื่องฟันนั่นแหละ อยากมีฟันสวยขาวเรียงเป็นระเบียบเหมือนคนอื่นเขา หากมีคาถาหรือพรวิเศษที่ขอได้ สิ่งแรกเลยก็จะขอให้ฟันสวยแข็งแรงสมส่วน คนเรานั้นจะสวยจะงามก็อยู่ที่ฟัน หน้าตายับยู่ยี่เหมือนแย้โดนรถเหยียบ แต่หากฟันเขาสวยงามก็ยังทำให้ดูดีขึ้นมาได้ น้องดูพวกดารานางแบบสิ โดยเฉพาะนักร้อง พวกนี้ฟันจะสวยงามมาก ออกเสียงได้ชัดไพเราะแค่ไหนก็อยู่ที่ฟันนี่แหละ นึกอยากจะถอนให้หมดปากเหมือนกัน แล้วใส่ฟันปลอมซะ อย่างน้อยก็จะได้หมดปัญหาเรื่องกระดูกแทงเหงือก”

“แต่ก็นั่นแหละ บางทีพวกฟันสวยๆ งามๆ แล้วพูดจาไม่ระวังก็ทำให้น่าเสียดายอยู่ไม่น้อย น้องว่าไหม? พวกนี้ปากจัญไรน่าเลาะฟันออกให้หมด” เขาเหน็บกลับไปลอยๆ เอาคืนที่เธอถากถางเรื่องฟัน

เธอทำตาโตลุกวาวปากเม้มแน่น แต่แล้วก็คร้านจะต่อล้อต่อเถียงด้วย จึงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ แล้วเอ่ยขึ้นว่า

“กลับบ้านแล้วกินยาซะ ไม่ก็เอาเงินคืนไปแล้วอยู่กับความเจ็บปวดตามเดิม ลุงมีโครงสร้างปากและฟันไม่สมส่วน ถ้าไม่ดูแลให้ดีมันก็จะมีปัญหาอย่างนี้ตลอด”

เขารับยาแล้วหมุนตัวกลับด้วยอาการขุ่นเคือง เภสัชกรหญิงทำท่าไม่สนใจ แต่แอบชำเลืองมองอยู่ตลอด เห็นเขาเดินก้าวช้าๆ ไปที่ประตูกระจก ผมยาวสีขาวถูกผูกรวบตัดกับแสงแดดที่ส่องเข้ามา เคราเป็นปุยรายล้อมแก้มต้องแสงส่อง การมองเห็นด้านหลังทำให้เธอคลายความกริ้วลงไปได้เยอะ ดูๆ ไปผู้ชายคนนี้ก็สง่างามดี อกผายไหล่ผึ่งมีเสน่ห์ ขี้เล่น อารมณ์เหมือนเด็กผู้ชายกำลังซน แม้อายุจะ 48 แล้วก็ยังดูกระฉับกระเฉงไม่น้อย เธอไม่แน่ใจนักว่าหากเขาต้องวิ่งแข่งกับเด็กหนุ่ม เขาจะแพ้จริงๆ หรือ

กระนั้น-มีก็แต่คนรุ่นเขานั่นแหละที่เจ็บป่วยด้วยโรคในช่องปาก โรคโบราณล้าหลังในประเทศด้อยพัฒนาที่ไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ นอกเสียจากถอนฟันดึงรากออกมาให้หมดแล้วใส่ฟันปลอม แน่นอน-ที่ต้องมีค่าใช้จ่ายสูงลิ่ว และต้องใช้เวลารักษาอย่างยาวนาน

“ลุง” เธอตะโกนเรียกเสียงลั่นจนเขาหยุดชะงัก หันกลับมาก็เห็นเธอลุกขึ้นเดินอ้อมเคาน์เตอร์กระจกมาหา เธอเดินช้าๆ จ้องด้วยดวงตาเข้มข้น หยุดยืนเบื้องหน้าแล้วจ้องลึกลงในดวงตาจนเขาต้องผงะถอย

“อะไรอีกล่ะนี่?” ครั้งนี้เขารู้สึกเหมือนถูกคุกคาม พร้อมแล้วที่จะปกป้องตนเองจากคำพูดของเธอทุกเมื่อ

“เมื่อไหร่จะเลิกบุหรี่? ลุงสูบมากี่ปีแล้ว?”

“แล้วมาเกี่ยวอะไรด้วยไม่ทราบ?” เขาหัวเสียทุกครั้งที่มีคนทักเรื่องบุหรี่ เขารู้ว่ามันไม่ดี โดยเฉพาะทำให้ฟันเหลืองเป็นคราบน้ำตาลแก่ เกิดหินปูนแลดูน่าเกลียดน่ากลัว

“เกี่ยวสิ ไอ้บุหรี่นี่แหละที่จะทำให้ลุงต้องกินยาแก้ปวดตลอดชีวิต หินปูนกับคราบดำๆ ตามซอกฟันจะจับกันเป็นก้อนแข็ง กัดกินทำลายล้างเนื้อเยื่อโคนฟันลึกไปถึงกระดูกฟันจนละลาย ทำให้เนื้อเยื่อช่องปากเป็นหนองบวมเป่ง ปากเหม็นสกปรก รำมะนาดจะทำให้ลุงเคี้ยวข้าวไม่ได้ มันจะเจ็บปวดรวดร้าวทรมานสุดจะทานทน ลุงกินไม่ได้ก็จะขาดสารอาหาร ไม่นานก็ตาย ก่อนตายลุงก็จะต้องมาซื้อยาแก้ปวดแก้อักเสบไม่รู้จบ อมเข้าไปเถอะควันบุหรี่ อมให้เหงือกดำไปเลย” เธอลอยหน้าพูดอย่างผู้เหนือกว่า

เขาพยักหน้าช้าๆ ครุ่นคิดทบทวนคำพูดของเธอ ก็จริงเช่นเธอว่า เขาไม่สามารถเถียงได้แม้สักคำน้อย แต่การเลิกสูบบุหรี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย อย่างไรก็ตาม เขาคิดว่าเภสัชกรหญิงคนนี้ไร้สิ้นซึ่งมารยาทอันดีงามในการพูดคุย เป็นคนกักขฬะต่ำช้าน่าสมเพช เธอพูดจาได้ถ่อยเกินจะรับได้ไหว ดวงตาเขาจึงสบจ้องตอบโต้กลับไป ความเมตตาที่มีต่อเด็กกำลังหมดสิ้น เขายอมรับว่าเธอมีความรู้ เขาชื่นชมเธออย่างยิ่ง แต่หากการมีความรู้เป็นไปเพื่อถากถางเยาะเย้ยผู้อื่น มันจะมีความหมายอันใดให้นับถือเล่า เขายิ้มเล็กน้อยบอกความเลือดเย็น รอยยิ้มเมตตาของผู้ใหญ่ถูกเผยแย้มออกมาให้เด็กตายใจ ล้วงซองบุหรี่ยับยู่ยี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เคาะมวนออกจากซองช้าๆ อีกมือก็ล้วงหาไฟแช็กในกระเป๋ากางเกง เขาคาบบุหรี่ไว้ที่ปากสบตาเภสัชกรหญิงอย่างท้าทาย

“ลุงสูบบุหรี่ในนี้ไม่ได้นะ!” เธอตวาดเสียงเข้มดัง ใบหน้าดุดันเอาเรื่อง

“ผมยังไม่ได้จุด ดังนั้น ผมยังไม่มีความผิด” เขายิ้มให้เธอรู้ว่ากำลังโดนเหยียดหยาม กระหยิ่มไม่น้อยที่ทำให้เธอโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมา

“ผมรู้ดีว่าเหงือกของผมเป็นอย่างไร ผมเคยกินยาแก้ปวดแล้วมันก็หายปวด กินยาแก้อักเสบแล้วหายบวม ผมรู้ รู้ว่าไม่ใช่น้องจะรู้แค่คนเดียวว่าต้องรักษาเหงือกให้ดี หากยังต้องการกินได้นอนหลับ และไม่ว่าจะเรียกมันว่าเหงือกหรือเพดานปากก็ตามแต่” เขาดึงบุหรี่ออกจากปากมาถือในระดับสายตาเธอ

“ไม่น่าเชื่อ ไม่น่าเชื่อจริงๆ แค่บุหรี่ที่ยังไม่ได้จุด น้องก็ตกใจจนขวัญหายเสียแล้ว”

เภสัชกรหญิงมีสีหน้าไม่พอใจ ดวงตาเธอดุดันเคร่งเครียดขึ้นมาอีกครั้ง

“เฮอะ เมื่อเพดานปากอักเสบบวมเต่งฟันจะโยกคลอน จนที่สุดต้องถอนซี่ที่มีปัญหา จากนั้นฟันจะล้มไปทั้งแถบ ระเนระนาดไปทั้งปาก ระวังปากไว้ ลุงจะไม่มีฟันเคี้ยวข้าวแม้สักซี่เดียว”

“น้องก็ต้องระวังปากไว้ให้ดีเช่นกัน อย่าพูดจาก้าวร้าวกร่างเกินตัว คำพูดมันแสดงถึงเบื้องลึกของจิตใจ มันส่อว่าน้องคิดยังไงเป็นคนยังไงให้เห็น ปากคนให้คุณให้โทษได้ทั้งนั้น บ้วนน้ำเกลือบ้างก็ดี มันช่วยฆ่าเชื้อในปากได้ ลาก่อน” แล้วเขาก็หันตัวกลับ

ปล่อยให้เธอหวีดเสียงคลุ้มคลั่งด้วยความโกรธแค้นแน่นอกตามลำพัง

แดดนอกร้านขายยายังคงกล้าแรง เขาทิ้งยาทั้งถุงลงในถังหน้าร้านอย่างไม่แยแส ก้าวเท้าเดินกลางแดดร้อนวับๆ จนเหงื่อชื้นเสื้ออีกครั้ง ตาก็มองหาร้านขายยาแห่งใหม่ ตลอดทางเดินมีร้านค้าต่างๆ รายเรียง ผู้คนจอกแจกจอแจสับสนวุ่นวาย ไม่มีใครสนใจใคร ไม่มีร่มเงาของต้นไม้สักต้น กันแดดกันสาดของอาคารทอดเงาลงมาก็จริง แต่ไอร้อนก็ยังอบอวลอยู่บนฟุตปาธ เขาเดินต่อไปด้วยอาการปวดเจ็บเหงือก แดดร้อนยิ่งทำให้อาการปวดรุนแรงขึ้นทุกขณะ การกลัดหนองกำลังสุกงอมใกล้จะแตกเต็มที เขายืนยันจะเรียกส่วนบริเวณนั้นว่าเหงือก มันเป็นเหงือกด้านในปากมีหน้าที่ยึดรากฟันและเส้นประสาทสู่สมอง ความเจ็บปวดทำให้ต้องครางอูยๆ อยู่ในลำคอตลอดทาง

เขาคิดว่านี่เป็นเวรกรรมมาแต่ชาติปางไหนก็ไม่รู้ได้ คงเคยด่าคนเขาไว้เยอะ ชาตินี้เลยต้องเจอกับโรคเกี่ยวกับปากมาตลอดชีวิต ฟันไม่สวยไม่แข็งแรง ปากเป็นแผลเป็นประจำ เหงือกบวมอักเสบ กระดูกไก่แทงเหงือก ผักติดในซอกฟันเอาไม่ออกจนเน่าค้างเหม็นบูด ได้แต่ถอนหายใจ และขออโหสิกรรมแก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งมวล

เขาหยุดกึก อาการปวดทวีความรุนแรงขึ้น เขาต้องตัดสินใจให้ได้แล้วว่าจะไปหาหมอ หรือร้านยาแห่งใหม่ แต่แล้วใบหน้าของเภสัชกรหญิงก็ลอยเด่นอยู่ในห้วงนึก นั่นทำให้เขาหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง ทำไมเธอไม่เรียกส่วนบริเวณนั้นว่าเหงือก?