ดู 11 กันยาฯ แล้วย้อนดูบ้านเรา/ชกคาดเชือก วงค์ ตาวัน

วงค์ ตาวัน

ชกคาดเชือก

วงค์ ตาวัน

 

ดู 11 กันยาฯ แล้วย้อนดูบ้านเรา

 

ความที่เหตุการณ์ 11 กันยายน 2001 เป็นการก่อวินาศกรรมที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยปฏิบัติการที่น่าตกตะลึงที่สุด คือ การจี้เครื่องบินโดยสาร 4 ลำ แปรสภาพเป็นเหมือนขีปนาวุธขนาดยักษ์ เข้าพุ่งชนอาคารเป้าหมายในใจกลางมหานครของสหรัฐ จนมีคนตายมากมายถึง 3 พันชีวิต

ดังนั้น ทั่วโลกจึงยังกล่าวขวัญถึงเหตุการณ์นี้ในทุกๆ ปีที่เวียนมาถึง ทั้งในแง่ความเศร้าสะเทือนใจที่มีผู้คนต้องเซ่นสังเวยชีวิตไปจำนวนมาก ทั้งในแง่การทบทวนความขัดแย้งระหว่างชาติมหาอำนาจกับประเทศในย่านตะวันออกกลาง ที่ลุกลามกลายเป็นสงครามก่อการร้ายขยายตัวไปทั่ว

เมื่อกองกำลังทหารสหรัฐเข้าไปมีบทบาทในหลายประเทศ เข้าไปมีส่วนสู้รบในสงครามกลางเมือง ทั้งเข้าปราบปรามกลุ่มก่อการร้ายต่างๆ

แล้วก็ถูกตอบโต้ด้วยปฏิบัติการก่อการร้ายที่ไม่มีใครคาดคิด

โดยผู้ก่อการร้าย 19 คน แบ่งทีมกันเข้ายึดเครื่องบินโดยสารภายในประเทศของสหรัฐ 4 ลำ โดยลักลอบซ่อนอาวุธจำพวกใบมีดขึ้นไป ก่อนลงมือปลิดชีพนักบิน แล้วควบคุมเครื่องบินเอง ก่อนขับเข้าพุ่งชนตึกแฝดเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในนิวยอร์ก สัญลักษณ์ของเศรษฐกิจทุนนิยม จนพังพินาศ ส่วนลำที่ 3 บินพุ่งชนตึกเพนตากอน ขณะที่ลำที่ 4 ตกกลางทาง คาดว่าเป้าหมายคืออาคารรัฐสภา ในกรุงวอชิงตัน แต่ถูกขัดขวางต่อสู้จากคนในเครื่อง

จากนั้นมาก็มีการไล่ล่าเอาคืนจากสหรัฐ ตามจับกุมและเด็ดชีพเครือข่ายกลุ่มอัลเคด้าผู้ก่อปฏิบัติการ 9/11 ดังกล่าว รวมทั้งตัวนายบิน ลาเดน

แต่ความหวาดระแวง ความหวาดผวา ความเคียดแค้น การตอบโต้ไปมาระหว่างสหรัฐกับขบวนการก่อการร้ายโลก ก็ยังมีต่อมาไม่สิ้นสุด

ขบวนการก่อการร้ายนั้น แม้ไม่ควรสนับสนุน เพราะการลอบโจมตีลอบก่อวินาศกรรม ทำให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องรับเคราะห์บาดเจ็บล้มตายอยู่เสมอๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่า ที่มาของการก่อการร้าย คือวิธีการของชาติที่เล็กกว่า หรือขบวนการต่อสู้ที่ไม่มีอาวุธยุโธปกรณ์มากมาย เพื่อต่อกรกับชาติมหาอำนาจที่มีความพร้อมสูงกว่า

อีกทั้งการปราบปรามไล่ล่าไล่เด็ดหัว ไม่เคยทำให้ผู้ก่อการร้ายสูญหายไปจากโลก

อันที่จริง ในประเทศไทยเราเอง เมื่อมานั่งถกเถียงกันถึงสงครามก่อการร้ายและ 9/11 ควรจะต้องย้อนมองปัญหาความขัดแย้งในบ้านเราเอง ที่ยังคงต่อเนื่องไม่จบสิ้น บางกรณีเช่น 3 จังหวัดใต้ก็กลายเป็นการก่อความไม่สงบ ที่ยังรุนแรงยืดเยื้อยาวนาน

หรือความขัดแย้งในปัญหาโครงสร้างการเมือง ที่เคยเกิดกลุ่มสีต่างๆ เกิดการสังหารหมู่กลางเมืองหลวง

วันนี้ก็ยังมีม็อบของคนรุ่นใหม่ ซึ่งไม่มีทีท่าจะหาทางออกอย่างสันติกันได้!?!

 

มักมีคำกล่าวที่ว่า เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ จะขัดแย้งแตกแยกอย่างไร คนไทยก็ไม่แบ่งฝ่ายจับอาวุธเข่นฆ่ากัน อีกอุปนิสัยประนีประนอมคงเป็นเรื่องยากที่คนไทยเราจะก่อสงครามกลางเมืองประหัตประหารกันเอง

แต่จริงๆ แล้ว ประเทศไทยเราเคยเกิดสงครามสู้รบระห่างกองทัพรัฐบาลกับทหารป่าฝ่ายพรรคคอมมิวนิสต์ ตั้งแต่ปี 2508 จนสงครามขยายไปทั่วประเทศ เริ่มจะรุกคืบเข้าสู่ตัวเมืองมากขึ้นเป็นลำดับ

ในปี 2519 เราก็เคยเกิดการฆ่าหมู่นักศึกษา-ประชาชนกลางเมืองหลวง ในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม โหดร้ายสารพัด

แผนกวาดล้างนักศึกษา-ประชาชน เกิดขึ้นเพราะหวาดกลัวการเติบโตของศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ที่กลายเป็นองค์กรต่อสู้เพื่อประชาชน ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ที่นับวันจะทรงพลังมากขึ้น ประกอบกับเหตุการณ์ 3 ประเทศใกล้บ้านเรา ที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ได้รับชัยชนะ

การฆ่าหมู่กลางเมืองหลวง ก็เกิดขึ้นในประเทศที่เรียกตัวเองว่าเป็นเมืองพุทธ ไม่เข่นฆ่ากันด้วยความขัดแย้งหรอก!?

อีกทั้งผลของการฆ่า 6 ตุลาฯ ทำให้นักศึกษา-ประชาชนหลายพันคน แห่กันเข้าป่า ร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ จับปืนสู้รบกับรัฐบาล จนสงครามคอมมิวนิสต์ยิ่งลุกลาม

กระทั่งกองทัพในยุคใช้มันสมอง ผลักดันแนวทางการเมืองนำการทหาร ใช้สันติวิธียุติสงคราม

ส่วนหนึ่งเป็นการยอมรับว่า กองทัพผิดพลาดตลอด ยิ่งปราบคอมมิวนิสต์ยิ่งโต อีกส่วนก็ยอมรับว่าสงครามต้องจบที่โต๊ะเจรจา

ด้วยคำสั่งที่ 66/2523 จึงทำให้สงครามคอมมิวนิสต์ จากป่าที่ลุกลามเข้าใกล้เมือง สามารถยุติลงไปได้

แต่ก็หมายความว่า ในประวัติศาตร์ของบ้านเราก็เคยมีสงครามสู้รบระหว่างคนต่างความคิดมาแล้ว!

 

ไปที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ด้วยปัญหาความหวาดระแวงจากรัฐส่วนกลาง ที่มีต่อผู้นำศาสนา ผู้นำชาวบ้านในพื้นที่ ซึ่งเรียกร้องต้องการให้รักษาเอกลักษณ์ทางศาสนา วัฒนธรรม ลงเอยด้วยนโยบายของรัฐบาลแบบชาตินิยมขวาจัด จึงเกิดการอุ้มฆ่าผู้นำคนในพื้นที่ เมื่อหลายสิบปีก่อน

สุดท้ายก็กลายเป็นการต่อสู้ด้วยการใช้อาวุธ เกิดขบวนการก่อความไม่สงบขึ้นมายาวนาน พูโล บีอาร์เอ็น และอีกหลายๆ กลุ่ม

รอบล่าสุด เกิดในปี 2547 จนบัดนี้ยังไม่สงบ โดยหนล่าสุดนี้ มีปฏิบัติการเกิดขึ้นแทบทุกวัน ใหญ่บ้างเล็กบ้าง มีคาร์บอมบ์ ลอบวางระเบิด ลอบยิง แต่ไม่เคยมีการประกาศว่าเป็นขบวนการอะไร

ไม่เคยมีการโชว์สัญลักษณ์ประกาศชื่อ ขยายนโยบายอะไรในทุกๆ ปฏิบัติการ สะท้อนว่า ต้องการตอบโต้ล้างแค้น ต้องการทำให้เห็นว่ารัฐบาลไม่สามารถควบคุมรักษาความสงบใน 3 จังหวัดได้

อีกทั้งเมื่อปี 2559 เคยก่อปฏิบัติการ ลอบวางระเบิดทั่ว 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบน เป้าหมายคือเพื่อประท้วงรัฐธรรมนูญ ที่กำหนดสาระในหมวดศาสนา อันขัดแย้งกับคนในพื้นที่รุนแรง

รวมทั้งเคยขึ้นมาวางระเบิด 10 จุดทั่ว กทม.มาแล้วเช่นกัน

แม้ในช่วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เคยพยายามใช้นโยบายเปิดโต๊ะเจรจา เพื่อหาทางออกอย่างสันติวิธี จนคืบหน้าเป็นลำดับ

แต่เมื่อเกิดรัฐประหารยึดอำนาจจากยิ่งลักษณ์ เป็นที่รู้กันว่ารัฐบาลทหารย่อมไม่ให้น้ำหนักกับการเจรจา

โดยไม่เคยทบทวนว่า ก่อการร้ายใน 3 จังหวัดภาคใต้ ปราบอย่างไรก็ไม่สามารถหยุดยั้งหรือทำให้สงบได้!

ดังนั้น เมื่อเราย้อนมองเหตุการณ์ 11 กันยายนในสหรัฐ ก็ต้องตั้งคำถามต่อผู้มีอำนาจในบ้านเราด้วยว่า จะทำอย่างไรให้ 3 จังหวัดใต้สงบลง โดยไม่ทำให้การก่อความไม่สงบยกระดับรุนแรงมากขึ้น

แม้แต่ความขัดแย้งทางการเมืองในวันนี้

ขบวนการคนรุ่นใหม่ลุกขึ้นมาก่อม็อบอย่างต่อเนื่อง และเกิดในหลายจังหวัดทั่วประเทศ

ก็คือความขัดแย้งที่ควรหาทางออกเพื่อแก้ไข อย่าเอาแค่ คฝ. เอาแต่แก๊สน้ำตา กระสุนยาง และจับแกนนำเข้าเรือนจำ

อย่าทำให้คนรุ่นใหม่ไม่มีทางออก และอย่าลืมว่าในทุกความขัดแย้งนั้น ยิ่งพยายามกดก็ยิ่งต้านยิ่งระเบิดออก!