เสียเหลี่ยมกำนัน/ลึกแต่ไม่ลับ จรัญ พงษ์จีน

จรัญ พงษ์จีน

ลึกแต่ไม่ลับ

จรัญ พงษ์จีน

 

เสียเหลี่ยมกำนัน

 

การยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ และการลงมติในญัตติสำเร็จสะเด็ดน้ำไปแล้ว เมื่อวันที่ 4 กันยายนที่ผ่านมา ปรากฏว่า ผู้ถูกอภิปรายทั้ง 6 ราย ต่างประสบชัยชนะ เท่ากับว่ารัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ได้ไปต่อ ตามกฎหมายและรัฐธรรมนูญ

แต่ใน “เชิงการเมือง” มีปัญหา ไม่น่าอภิรมย์ใจสักเท่าไหร่ สำหรับ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

หนึ่งในผู้ถูกอภิปราย ที่เสียงในการลงมติออกมา รับประทาน “รองบ๊วย” ไว้วางใจ 264 เสียง ขณะที่คะแนนไม่ไว้วางใจ “ครองแชมป์” ผลโหวตออกมา 208 เสียง กลับหัวกลับหาง

ถือว่าเสียเหลี่ยมกำนัน นกกระจอกชนะหงส์ โดยสารบบ “ผู้บังคับบัญชา” ต้องได้เสียงมากกว่า “ผู้ใต้บังคับบัญชา” ถึงจะเวิร์ก จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า คะแนนศึกซักฟอกที่จบลงเยี่ยงนี้ “พล.อ.ประยุทธ์” เสียหาย ขายขี้หน้า หมดลายภาวะผู้นำ

“ลึกแต่ไม่ลับ” ฉบับที่แล้ว จับความเคลื่อนไหวศึกอภิปรายครั้งนี้ ประเมินสถานการณ์ไว้ล่วงหน้าว่า จะมีมือดีลลึกลับ ปั่นเกมให้คะแนนเสียงลงมติ “บิ๊กตู่” พ่ายแพ้ “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสารณสุข “นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จาก “ภูมิใจไทย” และ “นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สังกัด “ประชาธิปัตย์”

โดย “พล.อ.ประยุทธ์” จะชนะ “นายสุชาติ ชมกลิ่น” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่คะแนนลงมติ ถูกวางน้ำหนักให้ออกมารั้งตำแหน่งบ๊วยสุด “เพียงเล็กน้อย”

ปรากฏว่า แม่นดุจจับวางทุกประการ เนื่องเพราะ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ได้รองสุดท้าย เหนือกว่า “นายสุชาติ” ซึ่งได้คะแนน 263 เสียง เพียง 1 แต้มเท่านั้น

ขณะที่รัฐมนตรีที่มาจาก 2 พรรคร่วม “นายเฉลิมชัย” มีคะแนนไว้วางใจมากที่สุด 270 เสียง “นายอนุทิน” กับ “นายศักดิ์สยาม” ได้รับความไว้วางใจเสมอกันที่ 269 เสียง

“13 พรรคเล็ก” เป็นตัวแปรสำคัญ เพราะอยู่นอกเหนือการควบคุม ศึกอภิปรายคาบนี้ จึงมีข่าวลือว่า “บางพรรค” ถูกหวยรางวัลใหญ่ แบกกล้วยกลับบ้านกันสบายใจเฉิบ

 

แต่ขณะเดียวกัน ดั่งที่บอกไว้ว่า “พล.อ.ประยุทธ์” มีบุคลิกส่วนบุคคล เป็นคุณสมบัติประจำตัว ที่ไม่ได้เกิดมาแบบปัจจุบันเมื่อวันวาน แต่สะสมมายาวนาน คือไม่ชอบให้ใครกินฟรี โดนเปล่า ยิ่งหยามเกียรติและศักดิ์ศรีด้วยแล้วยิ่งไปกันใหญ่ ต้องหาหนทาง “ถองแค้น” ด้วยการเอาคืนด้วยวิธีหนึ่งวิธีใด

“บุญคุณต้องตอบแทน ความแค้นต้องชำระ” แม้วัฒนธรรมแบบไทยๆ ศาสนาพุทธสอนไว้ เวรระงับด้วยการไม่จองเวร รู้จักให้อภัย รู้จักปล่อยวาง

การจองเวร ชำระแค้น เลยเถิดจนเกินเหตุย่อมมีความผิด แต่มีข้อยกเว้นสำหรับการเมืองไทย ไม่แก้แค้น ไม่ฆ่า เข้าเกียร์ว่าง เราอาจจะมีความผิด เสียใจไปจนตาย

ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจที่เพิ่งจบลงไปหมาดๆ ลำพังฝ่ายค้านเขียนญัตติกล่าวหาด้วยถ้อยคำรุนแรง หนักหน่วง “ผู้นำโง่ เราจะตายกันหมด เพราะคนโง่คือภัยอันตรายร้ายแรง เมื่อได้กลายเป็นผู้มีอำนาจ” เจ็บใจจี๊ดแทบแย่อยู่แล้ว

แต่ที่แค้นตาแม้น ความรู้สึกดีๆ ถูกลบเลือนไปหมด คือการขับเคลื่อนของแกนนำขาใหญ่จาก “พปชร.” ที่มีข่าวร่ำลือกันกระฉ่อนทั่วทุกวงการ ไม่ว่าการเมือง-สื่อกระแสหลัก กระแสรอง เพื่อล้มกระดาน “พล.อ.ประยุทธ์”

มีขบวนการจาก “คนกันเอง” โดยกลุ่มที่ถูกโฟกัสว่าอยู่เบื้องหลังการถ่ายทำ คือ “แก๊ง 4 ช.” จนสตาฟฟ์ “บิ๊กตู่” ต้องแก้เกมกันมือระวิง ในคืนหมาหอน ก่อนลงมติศึกซักฟอก แม้จะพลิกกลับมาชนะ “ได้อยู่ต่อ” แต่เข้าวินแบบติดติ่ง หัวมังกุด ท้ายมังกร ด้วยเหตุและปัจจัยดังกล่าว บวกกับนิสัยส่วนตัว จึงเชื่อขนมกันล่วงหน้าว่า ก้าวต่อไป “พล.อ.ประยุทธ์” ต้องชำระสะสาง ชำระรอยแค้นแน่นอน

คนที่ตกที่นั่งว่าจะโดน “บิ๊กตู่” ทำปืนลั่นใส่คนแรก มีกระแสข่าวมากที่สุด คงหนีไม่พ้น “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้มากบารมี ในฐานะเลขาธิการพรรค พปชร.-คนใกล้ชิด “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” หัวหน้าพรรค

“2 ช.” ที่อยู่ในร่มเงาเดียวกัน อาจจะโดนหางเลขในลำดับถัดไป ขณะที่อีก 1 ช. ได้แก่ “สันติ พร้อมพัฒน์” รมช.คลัง เก๋าเกม กลับลำกลางอากาศ กลายเป็นขวัญใจคนใหม่ของ “บิ๊กตู่” ไปแล้วโดยพลัน

การปราบม้าผยศ เริ่มส่งสัญญาณขึ้นแล้วเมื่อวันวาน มีการประชุม ครม.อังคารที่ผ่านมา มีข่าวทุกสำนักรายงานตรงกันว่า “พล.อ.ประยุทธ์” ตั้งใจเดินผ่านที่นั่งรัฐมนตรี เห็น “ร.อ.ธรรมนัส” กำลังพูดคุยกับ “สาธิต ปิตุเดชะ” รมช.สาธารณสุข ทั้งสองคนรีบยกมือไหว้ แต่ “บิ๊กตู่” รับไหว้ตอบเฉพาะ “สาธิต” เดินผ่านโดยไม่หันมามอง “ผู้กองมนัส”

เหมือนจงใจบอก “นัยยะ” อะไรบางประการให้รับทราบ

 

แน่นอนว่า การที่ “พล.อ.ประยุทธ์” ระงับความโกรธไม่อยู่ เขี่ย “ร.อ.ธรรมนัส” พ้นทางปืน ด้วยการปรับ ครม.ในเร็วๆ นี้ ริบเก้าอี้เสนาบดีไปให้กับกลุ่มที่เทเสียงช่วยกู้วิกฤตในการลงมติคืนสุดท้าย มีข่าวว่า ที่ซึ้งน้ำใจมากที่สุด คือ “พลังถิ่นไท” กับ “ชาติไทยพัฒนา”

แต่ไม่ง่าย เนื่องจากติดขัดที่ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกฯ พี่ใหญ่แห่ง 3 ป. หัวหน้า พปชร. “ลุงป้อม” ต้องสวมบทท้าวมาลีวราช คอยห้ามทัพไม่ให้ประดาบ ปรับ ครม.เอา “ร.อ.ธรรมนัส” และก๊วน 3 ช.ออกจากตำแหน่ง

แต่ศึกซักฟอกครั้งนี้ยกระดับเข้าแก๊ป “แก้วที่ร้าวแล้ว” ซ่อมยาก อย่าพยายามเลย เอากลับมาใช้งานต่อยังไงก็ไม่เหมือนเดิม รอ “แตก” อย่างเดียว

ความรู้สึกจากศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ 6 รัฐมนตรี เกิด “แก้วร้าว” ขึ้นใน พปชร.แล้ว ความสัมพันธ์ รัก สามัคคี เสียความรู้สึกกันไปเรียบร้อยแล้ว ยากที่จะกลับมามีฟื้นฟูกันได้ดุจเดิม ต่างคนต่างอยู่ดีกว่า

“พล.อ.ประยุทธ์” ต้องปรับ ครม. จัดการกับผู้เคลื่อนไหว พ้นตำแหน่ง ขณะที่ “พล.อ.ประวิตร” พี่ใหญ่ต้องหาทางปกป้องก๊วน 3 ช.สุดขีด

สุดท้าย “บิ๊กตู่” กับ “บิ๊กป๊อก” 2 ป. ต้องแตกคอกับ “บิ๊กป้อม” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่นี่มันสนามการเมือง ไม่ใช่สนามรบ

“พล.อ.ประวิตร” กลืนไม่เข้าคายไม่ออก รักลูกน้อง แต่จะปกป้องมาก ทุ่มสุดตัวไม่ได้

จะถูกข้อครหาว่า “รู้เห็นเป็นใจ” เสียรังวัดทั้งขึ้นทั้งล่อง

ตอนนี้ “แก้วร้าว” รอวัน “แตก” เท่านั้น เอวัง